เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวท้องถิ่นชนรายงานความคืบหน้ากรณีที่ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 4 ต.บ่อกวางทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี ประมาณ 400 คนได้ลงลายมือชื่อเรียกร้องให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงมาตรวจสอบกรณีที่มีนายทุนจีนกว้านซื้อที่ดินประมาณ 100 ไร่ หมู่ 4 ต.บ่อกวางทอง อ.บ่อทอง พร้อมทั้งมีการปรับปรุงพื้นที่ เพื่อเตรียมการก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่
โดยชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าได้มีการประชาพิจารณ์ โรงงานก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการอะไร ทำให้ชาวบ้านหวั่นโรงงานดังกล่าว หากก่อสร้างเสร็จแล้วมีการประกอบกิจการ อาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ระยะยาว เนื่องจากทราบข่าวว่าโรงงานดังกล่าวได้มีการย้ายฐานการผลิตมาจากพื้นที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ซึ่งได้ประกอบการเกี่ยวกับสารตะกั่ว ทำให้ชาวบ้านได้รับสารพิษและเกิดอาการเจ็บป่วย จึงไม่อยากได้โรงงานดังกล่าวมาก่อสร้างในพื้นที่ และได้รวมตัวประท้วงหลายครั้ง ห้ามไม่ให้มีการก่อสร้างโรงงาน ทำให้เทศบาลตำบลบ่อกวางทอง และนายอำเภอบ่อทองลงพื้นที่ และได้มีคำสั่งห้ามไม่ให้มีการก่อสร้าง จนกว่าจะมีการชี้แจงกับประชาชน แต่ในข้อเท็จจริงโรงงานดังกล่าวยังได้มีการก่อสร้างโรงงานทุกวัน จึงได้มีการร้องเรียนดังกล่าว
ต่อมานายพีระพันธุ์ ได้สั่งการให้ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือ เสธฯ หิ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคณะทำงานให้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมี นายรัฐรุจน์ ปิยะพงศ์ภัทร ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษาเครือข่ายป้องกันการทุจริตภาคประชาสังคม จังหวัดชลบุรี นายวีระชัย ช้างสาร เครือข่ายต่อต้านสภาวะโลกร้อน และชมรมสร้างความยุติธรรม ฝ่ายกฎหมาย และมีประชาชนในพื้นที่หมู่ 4 และหมู่ 5 ต.บ่อกวางทองมาต้อนรับกว่า 100 คน เพื่อคัดค้านการก่อสร้างโรงงานดังกล่าว ได้มี นายณรงค์เดช พรงาม แกนนำชาวบ้านมาชี้แจงเกี่ยวกับการรวมตัวของชาวบ้านที่ออกมาคัดค้าน นอกจากนี้ในพื้นที่หมู่ 5 ต.บ่อกวางทอง น.ส.วิไลวรรณ นิรามยกุล ยังได้นำเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับผู้ประกอบการชาวจีนได้นำสารเคมีมาฝั่งกลบในพื้นที่หลายไร่ ทำให้เกิดน้ำเน่าเสีย และส่งกลิ่นเหม็น ในพื้นที่ของ บริษัท วี เทคนิค รีไซเคิ่ล จำกัด อีกด้วย นอกจากนี้ยังมี น.ส.นิษฐกานต์ กุลวิวัฒน์ธนิน กำนันตำบลบ่อกวางทอง และนายมนัส ศรศักดา ปลัดเทศบาลตำบลบ่อกวางทอง และเจ้าหน้าที่มาร่วมสังเกตการณ์อีกด้วย
นายณรงค์เดช พรงาม แกนนำชาวบ้านหมู่ 4 ต.บ่อกวางทองกล่าวว่า การก่อสร้างโรงงานของทุนจีนครั้งนี้ จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนให้กับโรงเรียน วัด และชุมชน เพราะอยู่ใจกลางของหมู่บ้าน ที่สำคัญพื้นที่บริเวณดังกล่าวยังเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญในการทำการเกษตร และยังเป็นแหล่งน้ำที่ประชาชนใช้อุปโภคบริโภคอีกด้วย ที่สำคัญโรงงานแห่งนี้จากการตรวจสอบพบว่ามีการย้ายมาจากพื้นที่ อ.บ้านบึง ซึ่งเคยมีการประกอบการและสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านมาแล้ว เพราะโรงงานไม่มีธรรมาภิบาล จึงได้รวมตัวกันร่วมกันลงลายมือชื่อ 400 คนร้องเรียนให้นายพีระพันธุ์มาช่วยเหลือ นอกจากนี้การสร้างโรงงานแห่งนี้ไม่เป็นไปตามกระบวนการที่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย เพราะยังไม่ผ่านกระบวนการประชาพิจารณ์ และลงมติของชาวบ้าน
“ในการทำประชาคม หรือประชาพิจารณ์ที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าโรงงานจะทำอะไร ที่สำคัญโรงงานของชาวจีนที่มาก่อสร้างในขณะนี้มีจำนวนมากมายในพื้นที่บ้านบึง บ่อทอง หนองใหญ่ มีโรงงานขนาดกลาง และขนาดเล็ก และเจ้าของโรงงานยังหัวเส หัวใส โดยจะมีวิธีการฝังกลบสารเคมี ปล่อยน้ำเสียหรือสารเคมี ทำให้เกิดมลพิษตลอดมา โดยหน่วยงานราชการไม่สนใจ การต่อสู้ครั้งนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะสู้กลุ่นนายทุนได้หรือไม่ แต่เมื่อนายหิมาลัย หรือ เสธฯ หิ ลงพื้นที่ในครั้งนี้ ชาวบ้านมีความหวังสู้กับการสร้างโรงงานแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน” นายณรงค์เดชกล่าว
ทางด้าน น.ส.วิไลวรรณ นิรามยกุล แกนนำหมู่ 5 ต.บ่อกวางทอง กล่าวว่า ตนเองได้ร้องเรียนเกี่ยวกับโรงงานแห่งหนึ่งที่ปล่อยให้ทิ้งร้าง และถูกสั่งปิดไปแล้วเมื่อปี 2561 และได้มีผู้ประกอบการชาวจีนในพื้นที่สมุทรสาครนำขยะสารเคมีมาฝังกลบ 3 ครั้งเกรงว่าจะเกิดมลพิษและมลภาวะในพื้นที่ เนื่องจากมีน้ำเน่าเสียและเริ่มส่งกลิ่นเหม็น จึงได้มาร่วมกันร้องเรียนในครั้งนี้ด้วย โดยหวังว่านายหิมาลัย หรือเสธหิ จะได้ประสานงานกับทางนายพีระพันธุ์ ลงมาช่วยเหลือ โดยพวกตนจะทำหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
ด้าน ดร.หิมาลัย กล่าวว่า ภายหลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนกับชาวบ้านเรียบร้อยแล้ว จะให้ทางฝ่ายกฎหมายดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเชื่อมั่นว่านายพีระพันธุ์ คงไม่ปล่อยให้ใครละเมิดข้อกฎหมาย ส่วนกรณีที่มีการนำสารเคมีมาฝังกลบในพื้นที่หมู่ 5 ต.บ่อกวางทองนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ร้องเรียนอย่างเป็นทางการ และยังไม่ส่งเอกสารข้อเท็จจริง ซึ่งตนเองจะลงไปในพื้นที่เพื่อตรวจสอบเบื้องต้น และเมื่อได้รับหนังสือร้องเรียนแล้วจะดำเนินการอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง