นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเพจ “มนุษย์ควัน” และตัวแทนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ให้ความเห็นกรณีนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร สั่งการให้ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เร่งดำเนินการกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมพิจารณาแก้ไขกฎหมายให้มีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น โดยนายสาริษฏ์เห็นว่าการแบนไม่เคยได้ผล และเสนอให้รัฐบาลใช้แนวทางการควบคุมผ่านกฎหมายตามแนวทางของ กมธ.วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าและความเห็นที่นายก อิ๊งค์ เคยพูดไว้ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
“นโยบายแบนบุหรี่ไฟฟ้าเป็นนโยบายที่ผิดพลาดและไม่สามารถแก้ปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนได้จริง ประเทศไทยจึงควรมีบทเรียนจากระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาว่าการแบนบุหรี่ไฟฟ้ายิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้น ทั้งการเข้าถึงของเยาวชน ตลาดซื้อขายใต้ดิน การทุจริตคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่ที่เรียกรับผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทาที่จำหน่ายและลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าตามที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ นี่คือบทพิสูจน์ว่าการแบนไม่ได้ผล และถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรคิดใหม่ ทำใหม่ หันมาใช้แนวทางการควบคุมที่มีประสิทธิภาพแทน” นายสาริษฏ์กล่าว
นายสาริษฏ์ได้อ้างอิงข้อมูลจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (US FDA) ซึ่งเผยแพร่ในเดือนกันยายน 2567 โดยระบุถึงผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้ยาสูบในเยาวชนแห่งชาติสหรัฐฯ (NYTS) พบว่า อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนลดลงจาก 2.13 ล้านคน (7.7%) ในปี 2566 เหลือ 1.63 ล้านคน (5.9%) ในปี 2567 โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนมัธยมปลายที่ลดลงจาก 1.56 ล้านคน เหลือ 1.21 ล้านคน ซึ่งเป็นผลจากการควบคุมและออกกฎหมายที่เหมาะสม
“ตัวอย่างจากสหรัฐอเมริกาชี้ให้เห็นว่า หากรัฐบาลจริงจังกับการปกป้องเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ควรออกกฎหมายควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นตลาดมืดที่ไร้การกำกับดูแล ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจสร้างปัญหามากกว่าเดิม เห็นได้จากข่าวสั่งปราบปรามซึ่งมีทุกรัฐบาล แต่ก็ไม่เคยปราบปรามได้จริง” นายสาริษฏ์กล่าว
นายสาริษฏ์ยังกล่าวถึงแนวทางของรัฐบาลเพื่อไทยที่ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล เช่น การแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่จะยกเลิกเวลาห้ามขาย การผลักดันให้คาสิโนถูกกฎหมาย หรือการนำเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน เพื่อให้ควบคุมกำกับดูแลได้ง่ายขึ้น
“เมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้งในปี 2562 นายกฯ แพทองธาร และ อดีตนายกฯ เศรษฐา ก็มีจุดยืนสนับสนุนให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย อยากให้รัฐบาลกลับมาทบทวนจุดยืนของตัวเอง และพิจารณาแนวทางที่สามารถแก้ปัญหาได้จริงมากกว่าสั่งการตามกระแสข่าวในสังคม ซึ่งขณะนี้ กมธ. วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้าได้จัดทำรายงานเรียบร้อยแล้วรอเสนอต่อสภาฯ ซึ่ง กมธ. เสียงส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยกับการให้แบนบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป เพราะเชื่อว่าการห้ามที่ผ่านมา 10 ปี ไม่ได้ผล”
นอกจากนี้ นายสาริษฏ์ฯ ได้ระบุถึงว่าประเทศไทยมักจะอ้างการดำเนินการตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่บอกว่าประเทศรายได้ต่ำและปานกลางอย่างเรา ควรจะแบนบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป ซึ่งเป็นการดูถูกคนไทยทั้งประเทศ มาตรการของ WHO ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับ จะเห็นได้ว่ากว่า 80 ประเทศทั่วโลกที่เป็นสมาชิกของ WHO ก็ไม่ได้แบนบุหรี่ไฟฟ้า WHO นั้นมีปัญหาความโปร่งใสในการทำงาน ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคนบางกลุ่ม ขาดการมีส่วนร่วม สมควรต้องปฎิรูปขนานใหญ่ หากไทยยังเดินตาม WHO ต่อไป ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าก็ยังถูกปล่อยให้ระบาดผ่านตลาดมืดโดยไม่มีมาตรการควบคุมที่เหมาะสม อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยในระดับนานาชาติ
“ที่ผ่านมาไม่มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูบบุหรี่เกือบ 10 ล้านคนอย่างพวกเราที่เพียงแค่ต้องการหาผลิตภัณฑ์มาทดแทนการสูบบุหรี่ ทำให้นโยบายควบคุมยาสูบของประเทศไทยสุดโต่ง อนุรักษ์นิยมและอคติกับผู้สูบบุหรี่ ปิดกั้นทางเลือกของผู้บริโภคมาโดยตลอด หากครั้งนี้ รัฐบาลจะยังคงใช้ยึดแนวทางการแบนเช่นเดิม รัฐบาลอาจต้องเผชิญกับคำถามจากประชาคมโลกว่าเหตุใดประเทศไทยจึงยังไม่สามารถแก้ปัญหาตลาดมืดได้ รวมถึงไม่สามารถลดปัญหาการสูบบุหรี่ของประเทศได้ทั้งๆ ที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของ WHO มาโดยตลอด จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยทบทวนนโยบายและหาทางออกที่ยั่งยืนกว่าการสั่งการปราบปรามไปวันๆ”