การไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง อันเป็นที่ดินพระราชทาน 5,083 ไร่ เป็นการทำผิดกฎหมาย

1. เหตุผลทางกฎหมาย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 มีพระบรมราชโองการ พระราชทานที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ ให้แก่การรถไฟ เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการของการรถไฟ และมีพระราชกฤษฎีกาในรัชกาลที่ 6 พระราชทานที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่นี้ให้แก่การรถไฟซ้ำอีก ทั้งพระบรมราชโองการ และพระราชกฤษฎีกาของพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นกฎหมายตามนัยยะคำพิพากษาศาลฎีกาคดีวัดพระพุทธบาทที่มีผลให้ที่ดินทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟ ไม่สามารถนำไปออกโฉนดที่ดินได้ และไม่สามารถครอบครองอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นได้ จะโอนได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติเท่านั้น

2. การที่นักการเมือง และเอกชน บุกรุกเข้ายึดครองที่ดินพระราชทาน 5,083 ไร่ และสมคบกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ออกโฉนดที่ดินเป็นของนักการเมือง และเอกชนกว่า 100 โฉนด เป็นการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ และผิดกฎหมาย จะต้องถูกเพิกถอนทั้งสิ้น การเพิกเฉยละเลยไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 มีโทษจำคุกสูงถึง 20 ปี และเป็นความผิดทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ที่จะต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง และถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งด้วย

3. นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 20 ประกอบมาตรา 11 ที่จะต้องติดตามเอาคืน ที่ดินพระราชทานทั้ง 5,083 ไร่ และเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินทั้ง 5,083 ไร่ ให้เป็นของการรถไฟตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ การไม่สั่งดำเนินการใด ๆ ในเรื่องนี้ เป็นความผิดอย่างเดียวกัน กับคดีที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาจำคุกอดีตนายกยิ่งลักษณ์มาแล้ว และเรื่องนี้ ยังมีเรื่องผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ที่ต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต ตามบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญด้วย

4. คำพิพากษาของศาลฎีกา และศาลปกครองสูงสุดที่ว่าที่ดินบางโฉนดที่ฟ้องร้องกันเป็นของการรถไฟ และให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์นั้น แม้กรมที่ดินไม่ได้เป็นคู่ความ แต่คำพิพากษานั้นผูกพันกรมที่ดินด้วย เพราะกรมที่ดินมีหน้าที่ตามกฎหมายจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม และกฎหมายที่ดินในการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล แม้ว่าจะไม่ได้เป็นคู่ความด้วยก็ตาม ดังบรรทัดฐานคดีวัดพระพุทธบาท ซึ่งศาลพิพากษาให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเพียง 50 กว่าตารางวา ตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าทรงธรรม เจ้าพนักงานที่ดิน มีอำนาจเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ที่ดินรอบวัดพระพุทธบาทรัศมี 1 โยชน์ จนถึงธารทองแดงได้ และได้เพิกถอนมาเรียบร้อยแล้ว เพราะผลของคำพิพากษานั้น ผูกพันสำนักงานที่ดิน ว่าที่ดินในรอบรัศมี 1 โยชน์ เป็นที่ดินที่พระเจ้าทรงธรรม ทรงประกาศอุทิศไว้แก่วัดพระพุทธบาท ปัญหาจึงอยู่ที่การยอมรับการปฏิบัติตามคำสั่งพิพากษา และพระราชโองการหรือไม่ 

เรื่องนี้จะกวาดล้างนักการเมืองทุจริตออกจากตำแหน่งยกแผง คอยดูกันไปก็แล้วกัน

กรณีลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ด้วย สมัยนั้น ทรงขับไล่ขรัวโตให้ออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งขรัวโตก็ยอมรับปฏิบัติ ต่อมาทรงทราบว่าขรัวโตยังอยู่ในราชอาณาจักร จึงให้ฝ่ายตำรวจไปนิมนต์มาเฝ้าที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย แล้วทรงต่อว่า ว่าทำไมขรัวโต ละเมิดสมณะสัจจะไม่ออกไปนอกราชอาณาจักร ตามที่รับปากไว้ ขรัวโตขอให้พระองค์ท่านตรัสตามพระบรมราชโองการเมื่อครั้งขึ้นครองราชย์ พระเจ้าอยู่หัว จึงทรงตรัสว่า เมื่อครั้งขึ้นครองราชย์ทรงประกาศท่ามกลางสังฆมณฑลว่า “ที่ดินภายในพัทธสีมาอาณาจักร ขอถวายไว้แก่พระพุทธศาสนา ถวายพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์” ขรัวโต จึงถวายพระพรถามว่า “เมื่ออาตมา อยู่ในโบสถ์วัดระฆังยังจะทรงถือว่าเป็นพระราชอาณาจักรของพระองค์หรือไม่” พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพอพระทัย เรื่องนั้นก็จึงเป็นอันยุติไป ด้วยการยอมรับว่าพระบรมราชโองการที่อุทิศที่ดินในเขตพัทธสีมา ถวายไว้ในพุทธศาสนานั้นเป็นกฎหมาย และกลายเป็นที่สงฆ์ไม่อยู่ในพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อีกต่อไป

ก็แลพระเจ้าแผ่นดินก็ยังทรงยอมรับเช่นนี้ ไฉนเล่านักการเมืองทุจริต และข้าราชการชั่วจึงไม่นำพาตามพระบรมราชโองการนั้น ดังที่เห็นตำตาตำใจประชาชนทั้งประเทศอยู่ ณ ขณะนี้

Cr. Facebook ‘Paisal Puechmongkol’