<ย้อนอดีต>สมัยนักเรียนมัธยม
ใครเรียนเก่ง หัวดี ครูอาจารย์ก็บอกว่า<เธอต้องไปสอบแพทย์นะ เธอต้องไปสอบวิศวะนะ> ส่วนพวกเรียนปานกลาง หรือพวกถู ๆ ไถ ๆ ครูอาจารย์ก็บอกว่า<เธอต้องไปเรียนต่อนะ มีมหาวิทยาลัยเปิดไม่ต้องไปสอบเข้าเรียนอะไรก็ได้ให้จบจนได้รับปริญญาเธอจะได้มีงาน มีอนาคต>
พวกเรียนเก่ง หัวดีพากันไปสอบเรียนต่อติดแพทย์ ติดวิศวะ มหาวิทยาลัยชื่อดัง ครูอาจารย์ ชื่นชม พ่อแม่ผู้ปกครอง ชื่นใจ
พวกหัวสมองปานกลาง ก็พากันไปเรียนต่อคณะยอดนิยมคือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ไม่ต้องสอบเข้าเพราะมหาวิทยาลัยเปิด ครูอาจารย์ก็เอาใจช่วย พ่อแม่ก็กัดฟันส่ง พากันคิดในใจว่า<เอาให้จบนะจะได้มีอนาคตกับเขา>
คนเก่ง คนฉลาด เรียนจบมีอนาคตสดใส เป็นหมอ เป็นวิศวกร มีคนนับหน้าถือตา ครูอาจารย์พากันพูด <ลูกศิษย์ผมเอง ลูกศิษย์ฉันเอง สอนมากับมือ> พ่อแม่ผู้ปกครองพากันพูด<ปลื้มใจลูกมากไม่เสียแรงที่ส่งเรียน>
พวกหัวปานกลาง ก็จบมาเหมือนกันไปสอบเป็นปลัดอำเภอ สอบเป็นตำรวจ ทหาร ได้แต่งเครื่องแบบ เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย ครูอาจารย์ พากันพูดว่า<เก่งเหมือนกันนี่ตั้งใจทำงานนะ> พ่อแม่ผู้ปกครอง พูดว่า<นี่แหละลูกฉันดีแล้วที่มีเงินเดือนกิน>
วันเวลาผ่านไปหลายปีมันหมายถึง<อนาคต>
พวกหัวดี ฉลาด เรียนเก่ง หมอ ได้เป็น ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เป็นนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด วิศวกร ได้เป็นโยธาธิการจังหวัด
พวกหัวสมองปานกลาง ไม่ฉลาดมาก เรียนก็ไม่เก่ง ปลัดอำเภอ ได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจ ทหาร ต่างก็ได้เป็นนายพลหัวหน้าหน่วย
ในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัด ใครเป็นประธาน ? ใครนั่งตรงไหน ? คิดเอาเองครับ
เพราะนี่คือ บริบทของสังคมแบบไทย ๆ
ป.ล.
ขออภัย มิได้ดูถูกอาชีพใด ทุกอาชีพมีเกียรติมีศักดิ์ศรี
มิได้ค่อนขอดครูอาจารย์ เพราะท่านหวังดีกับลูกษย์เสมอ
ตัวผมผู้เขียนก็อยู่ในกลุ่มสมองปานกลาง
มียศตำรวจนำหน้าชื่อครับ
พล.ต.ต.ไอยศูรย์ สิงหนาท