วิชามาร ว่าด้วย “การล้มเจ้า”
การเมืองไทยวันนี้ สิ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามีการนำวิธีการกล่าวหาคนที่คิดต่างหรือต่างพวกของตนว่าเป็นพวก “ล้มเจ้า” จึงไม่แปลกที่การเลือกตั้งผู้ว่า กทม. มีการนำมากล่าวหาเพื่อทำลายฝั่งตรงข้ามที่ต้องการเอาชนะการเลือกตั้งโดยไม่กลัวบาป กลัวกรรมกันเลย มีการปล่อยข่าวเป็นเชิงลบอย่างชัดเจนว่า “ชัชชาติเป็นพวกล้มเจ้า” หรือการตั้งคำถามที่ดูเป็นเชิงบวกว่าต้องการปกป้องสถาบันหลัก แบบคลุมเครือว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ทำภาพโฆษณาใน Lazada ที่ทำให้เข้าใจสถาบันหลักผิด ใครเป็นผู้ว่าฯ ที่ประชาชนให้คะแนนเชื่อใจว่าจะแก้ปัญหาได้ดี ปรากฏว่า คุณสกลธี มาอันดับ 1 / พล.ต.อ.อัศวิน มาอันดับ 2 / ดร.ชัชชาติ มาอันดับ 3 / ดร.สุชัชวีร์ มาอันดับ 4 / และ น.ต.ศิธา มาอันดับ 5 / ส่วน ดร.วิโรจน์ คะแนนต่ำไปเลย
การตั้งคำถามอย่างนี้ ดูเหมือนเป็นบวกและต้องการปกป้องสถาบันหลัก แต่ก็ซ่อนปมเพื่อตัดคะแนนความน่าเชื่อถือ ดร.ชัชชาติ ซึ่งถามกลับไปถามคนทำโพลล์ว่า
– ใครมีหน้าที่หลักในการจัดการตามกฏหมาย รัฐบาล ตำรวจ หรือผู้ว่า กทม.
– คำถามอย่างนี้ ไม่ตบหน้า รัฐบาลที่ควบคุมตำรวจหรือ ฯลฯ
– รัฐบาลเป็นสถาบันหลัก เทียบเท่าสถาบันชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ หรือ
ภายใต้ 8 ปี รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ใครจะชื่นชมอย่างไรก็ตาม แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีการโจมตี กล่าวหาสถาบันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่มีมา และพ่ายแพ้ทางการเมืองในการจัดการเชิงสัญลักษณ์อย่างเด็กยกมือชู 3 นิ้ว ในอดีตผมเองเคยเป็นลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ (Senior Scout) รร.มหาวชิราวุธ เราชู 3 นิ้วเพื่อปฏิญาณตัว สามนิ้วใช้ในนาม ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พอคนมาใช้ในนาม สันติภาพ เสมอภาพ ภราดรภาพ หรือ สามนิ้วใน ความหมายอื่น ๆ ซึ่ง ถ้าไม่ใช่ ไปทำร้ายสถาบันหลักของชาติ ก็ไม่เห็นเสียหายอะไร แต่ถ้าหมายถึง การใส่ร้าย ความเกลียดชัง และ การเข่นฆ่า นั่นแหละจึงต้องใช้มาตรการทางกฎหมาย แต่ทุกวันนี้ใครชู 3 นิ้วหมายถึงพวกล้มเจ้า ใครชูสามนิ้วเลยผิดไปหมด
มีพี่นับถือกันเอารูป ดร.ชัชชาติชู 3 นิ้วกับเด็กชู 3 นิ้วแต่คนละด้าน และเขียนข้อความว่า “ผู้สมัครใดสนับสนุนพวกสามกีบอย่าเลือก” พร้อมมีรูปชู 2 นิ้วถ่ายกับอั้ม เนโกะ มาให้ผมดู ซึ่งเป็นรูปต่างกรรม ต่างวาระมานำเสนอนั้น ผมดูแล้วบอกไปว่าเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ควรอธิบายที่มาของรูป ไม่ใช่จับแพะชนแกะ เพราะในความเป็นจริงเนื้อแท้กับปรากฏการณ์นั้นต่างกันได้ อย่างที่เห็นคนไปถ่ายรูปกับคนดังแล้วเอาไปอวดตัวว่าสนิทกันเป็นข่าวให้เสียหายก็มีมามาก ต่อมาก
ส่วนการกล่าวหาในเชิงลบนี้ยังมีการแพร่ภาพที่ทำให้เข้าใจ ดร.ชัชชาติผิดได้ ว่า ดร.ชัชชาติล้มเจ้า ซึ่งใครที่ติดตามภูมิหลัง ดร.ชัชชาติ ไม่ใช่แค่เรียนเก่ง เป็นนักเรียนเหรียญทองวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงหรือทุนอานันทมหิดล แต่ยังเต็มไปด้วยสำนึกในพระคุณคือกลับมารับใช้ประเทศ เพราะทุนเล่าเรียนหลวงนี้ นับเป็นหนึ่งในหลายทุนที่ดีที่สุดในโลก ไม่ต้องมาใช้ทุนคืนหรือทำงานคืนเหมือนทุนราชการ อื่น ๆ
ดร.ชัชชาตินั้นเป็นลูกชายของ พล.ต.อ.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์ นายตำรวจน้ำดี ส่วนคุณแม่นามสกุลเดิม “กุลละวณิชย์” ดร.ชัชชาติ จึงเป็นหลานแท้ ๆ ของ พล.ต.อ.พิชัย กุลละวณิชย์ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ (อดีตองคมนตรี) พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ (อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ) ศ.ดร.ผาสุข อดีตองคมนตรี (อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) ดร.ชัชชาติจึงโชคดี เกิดมาในแวดวงของครอบครัวที่มีการศึกษา การอบรมมาดีและที่สำคัญที่สุด เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9ได้พระราชทานนาม “ฉันท์ชาย-ชัชชาติ” เพื่อเป็นมิ่งมงคลกับลูกแฝดให้ครอบครัวสิทธิพันธุ์
ชื่อชัชชาตินับเป็นมงคลยิ่ง จึงเกิดมาเพื่อสร้างชาติ ไม่ใช่ทำลายชาติ พวกที่คิดทำลาย ดร.ชัชชาติโดยการกล่าวหาว่า “ชัชชาติล้มเจ้า” ไม่ปกป้องสถาบันหลัก จึงควรหยุดการกระทำที่สิ้นคิดเถอะครับ เพราะการอ้างสถาบันไปทำลายป้ายสีคนดี เท่ากับไปสร้างศัตรูให้กับสถาบันโดยไม่รับผิดชอบและเห็นแก่ตัวที่สุด
ดร.ประยูร อัครบวร
8 พ.ค. 2565