เมื่อวาน บทความเรื่อง ผู้พิพากษา ตำรวจ พระ มีแต่คนอนุโมทนาสาธุ วันนี้ บทความเรื่องนี้ บาปหรือบุญครับ
<พี่ ลาออกเถอะ>
เห็นข่าวที่เกี่ยวกับวงการตำรวจช่วงนี้ ตำรวจเก่า สะเทือนใจ
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2545 ผมย้ายไปดำรงตำแหน่งเป็น ผกก.สภ.ละหานทราย จว.บุรีรัมย์ เป็นโรงพักติดชายแดนเขมรฝั่งใต้
ผมประชุมชี้แจงและมอบนโยบายการทำงานเน้นการบริการประชาชน การเข้าถึงประชาชน โดยยึดมั่นตาม <อุดมคติตำรวจ> ทั้ง 9 ข้อ
- เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่
- กรุณาปรานีต่อประชาชน
- อดทนต่อความเจ็บใจ
- ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก
- ไม่มักมากในลาภผล
- มุ่งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
- ดำรงตนในยุติธรรม
- กระทำการด้วยปัญญา
- รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต
ผมออกตรวจพื้นที่ ตระเวนเยี่ยมเยือน พบปะกับชาวบ้านทั้ง 6 ตำบล 70 หมู่บ้าน ได้พบกับ นายก อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน
และชาวบ้าน ประชาชน สอบถามสารทุกข์สุขดิบ โดยให้คำมั่นสัญญาว่า <ตำรวจจะทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ รักษาความปลอดภัย ชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของชาวบ้านอย่างเต็มที่ มีเหตุเดือดเนื้อร้อนใจในสิ่งใด ๆ แก้ไม่ได้ ไขไม่ออกบอกตำรวจให้ช่วยเหลือได้ทันที ถ้าไม่ใช่งานในหน้าที่ของตำรวจก็จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบเพื่อดำเนินการต่อไป>
นายก อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ชาวบ้าน ประชาชน ทุกคนพอใจมาก
<การบริหารงานในส่วนของตำรวจ>
<สวัสดิการ> จ่ายเต็ม ตามที่ ภ.3 และ ตร. กำหนดไม่มีการหักหรืออมเบี้ยเลี้ยง แบบที่เรียกว่า<จัดเต็ม>
<การให้ความดีความชอบ> เป็นไปตามผลงานและให้คนในแผนกงานนั้นรับรองผลงานขึ้นมาด้วย
ตำรวจทุกนายทุกหน้าที่ล้วนมีขวัญและกำลังใจช่วยกันทำงานอย่างเข้มแข็งด้วยความเสียสละและอดทน
<วันตำรวจ> วันที่ 13 ต.ค. 2546 ผมได้พูดหน้าแถวตำรวจทั้งโรงพักว่า <เพื่อนตำรวจที่รักทั้งหลาย ทุกครั้งที่เพื่อนออกตรวจท้องที่ เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ทุกครั้งที่เพื่อนออกสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมคนร้ายอย่างไม่ย่อท้อ ทุกครั้งที่เพื่อนสอบสวนเพื่อให้ความยุติธรรมกับพี่น้องประชาชนตามหน้าที่
ทุกครั้งที่เพื่อนออกบริการจัดการจราจรเพื่อให้ชาวบ้าน ประชาชน เดินทางไปมาอย่างปลอดภัย และทุกครั้งที่เพื่อนบริการ อำนวยความสะดวกแก่ชาวบ้าน ประชาชนที่มาติดต่อราชการเรื่องงานเอกสารหรืองานใด ๆ ทั้งในโรงพักและนอกโรงพัก เพื่อนทุกคนทุกหน้าที่ได้ทำหน้าที่ของตำรวจอย่างสมภาคภูมิกับคำว่า <ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์>
ผมเป็นหัวหน้าหน่วย เป็นผู้กำกับ ยศ พ.ต.อ. ผมไม่สามารถทำความเคารพเพื่อนได้ด้วยท่าทางกายภาพ เช่น วันทยาหัตถ์หรือโค้งคำนับเพราะผมมียศสูงกว่า แต่ผมเคารพเพื่อนด้วยหัวใจของผม>
สิ้นสุดคำพูดของผม ตำรวจทุกนายในแถวยืนอมยิ้ม นิ่งเงียบ บางคนน้ำตาคลอหน่วย มันเป็นความจริงใจที่นายกับลูกน้องมีต่อกัน
ผลงานต่าง ๆ ซึ่งดีอยู่แล้ว กลับดีรุดหน้าขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวโดยไม่ต้องไปสั่งหรือกำชับใด ๆ เพราะทุกคน ทำงานด้วยหัวใจ แต่ในคนหมู่มาก ก็ยังมีบางคนที่มีพฤติกรรมเป็นตรงกันข้าม กับความเป็นตำรวจ
นายตำรวจ ยศ พ.ต.ท. เป็นรุ่นใหญ่ อายุมากกว่าผมหลายปีชอบเล่นการพนันชนไก่ วันหยุดราชการหรือเสาร์ อาทิตย์ จะไปชักชวนชาวบ้าน เล่นการพนันชนไก่กันเป็นประจำ
หัวหน้าชุมชนห้าม โดยบอกว่า <นโยบาย ผกก. ห้ามเล่นการพนันผิดกฎหมาย> แต่ พ.ต.ท. ไม่ฟัง หัวหน้าชุมชน จึงมาบอกเล่าให้ผมทราบ ผมเรียก พ.ต.ท. มาซักถามข้อเท็จจริง <ยอมรับโดยดุษฎี>
ผมพูดขอร้องว่า <เราเป็นตำรวจนะพี่ อย่าไปทำอย่างนั้นเลยผิดกฎหมาย อายชาวบ้านเขา> พ.ต.ท. ก็รับปากรับคำ ผมแนะนำไปว่า <ถ้าอยากเล่นชนไก่ก็ให้ไปเล่นในสนามซึ่งขออนุญาตจากนายทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย> พ.ต.ท. ขอบคุณผมและออกจากห้องไป
ต่อมามีชาวบ้านหลายรายรวมตัวกันมาพบผมที่ห้องทำงานเพื่อติดตามความคืบหน้าคดีที่ลูกหลานญาติพี่น้องถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดี และพูดด้วยว่า <พ.ต.ท. ได้ตกลงจะให้ความช่วยเหลือทุกคดีทุกคน โดยเรียกและรับเงินจากทุกคนไปเรียบร้อยแล้ว แต่เห็นว่า เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลยจึงมาติดตามสอบถามดู>
ผมฟังและอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยิน คิดในใจว่า <เป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้จริง ๆ>
ผมอธิบายถึงขั้นตอนการดำเนินคดีตามกฎหมาย ให้ชาวบ้านทราบบอกด้วยว่า <ทุกขั้นตอน ไม่ต้องใช้เงินเว้นแต่ค่าจ้างทนาย ผมจะบอกให้ พ.ต.ท. เอาเงินไปคืนทุกคน ต้องคืนจนครบกับที่เอาไปไม่ขาดแม้แต่บาทเดียว>
ผมให้ชาวบ้านที่มาพบเขียนหนังสือเล่าเหตุการณ์รายละเอียดให้ผมทราบและลงลายมือชื่อทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จากนั้นผมเรียก พ.ต.ท. มาพบสอบถามเรื่องราวได้ความว่า ไปเรียกรับเงินจากชาวบ้านเพื่อช่วยเหลือคดีมาจริง วิธีการช่วยเหลือคือ <ถ้าเผื่อว่า พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลพิพากษายกฟ้อง ก็ถือว่าช่วย ถ้าศาลพิพากษาลงโทษก็คืนเงินไป>
ผมนั่งมองหน้า พ.ต.ท. อยู่นาน จึงตัดสินใจพูดขึ้นว่า <พี่ลาออกจากตำรวจเถอะ พี่ทำตัวไม่เหมือนตำรวจเลย เหมือนพวกต้มตุ๋นมากกว่า ถ้าพี่ไม่ลาออกผมจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนไล่พี่ออกจากราชการ และพี่ต้องเอาเงินไปคืนชาวบ้านทุกคนเดี๋ยวนี้ ทุกบาททุกสตางค์ ถ้าไม่คืนเงินหรือคืนไม่ครบพี่เจอคดีอาญาแน่>
พ.ต.ท. มองหน้าผม มองตาผมเขม็งนิ่งพูดช้า ๆ ว่า <ได้ครับ ผมจะเอาเงินไปคืนและจะยื่นหนังสือลาออกในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้าเลย>
สรุปสุดท้าย พ.ต.ท. เอาเงินไปคืนและลาออกจากราชการไป ผมจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเพื่อรักษาหน่วย และรักษาองค์กรเอาไว้ ผู้บังคับบัญชาบางท่านทราบข่าว สอบถามมา <คุณให้ลาออกจริง ๆ หรือ ?> ผมตอบว่า <คนเลวหนึ่งคนคนเดือดร้อนหลายคนต้องกำจัดคนเลวครับ>
ผมเกษียณอายุราชการมาหลายปีแล้ว ขอ <ส่งไม้ต่อ> ให้น้อง ๆ ตำรวจปัจจุบันเพื่อช่วยกัน <ค้ำยัน> องค์กรตำรวจให้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างสมศักดิ์ศรี <ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์>
จากบุรุษ ชุดกากี ที่แสนรัก
ถึงวันพัก เพื่อให้น้อง ต้องทำต่อ
<พิทักษ์สันติราษฏร์> พิฆาตทรชน <โค่นถึงตอ>
ใจจดจ่อ ขอทุกคน พ้นภัยพาล
ป.ล.
ขอให้ช่วยกัน <ส่งไม้ต่อ> ๆ กันไป เพื่อรักษาศรัทธาของประชาชนที่ยังพอมีให้ตำรวจ ถ้า <โยนไม้ทิ้ง> หรือ <ทำไม้หลุดมือ> ไป หรือ <ไม่มีใครรับไม้ต่อ> รอดูวิกฤตสีกากีก็แล้วกัน
ขออย่าให้มีวันนั้นเลย
……..
ผมเขียนเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า วิกฤตสีกากีก่อหวอดแล้วจริง ๆ
<ไม่ได้> โยนไม่ทิ้ง <ไม่ได้> ทำไม้หลุดมือ <ไม่ได้> ไม่รับไม้ แต่เป็นการ <หักไม้> เศร้าใจจัง !
พล.ต.ต.ไอยศูรย์ สิงหนาท