ส่วยทิพย์ 140 ล้าน ?
หลังจาก “คาดเชือก” นำเสนอ ถึงข้อสงสัยเรื่องราวส่วยคูคตถึงชลบุรี อันเป็นเหตุส่งผลให้นายตำรวจใหญ่ระดับนายพลและพวกพ้อง ถูกเด้งกันระนาว
ภายหลังเกิดข้อสงสัยมากมาย เริ่มจากเงินส่วย 140 ล้านไปไหนหมด
มีตัวเงินจำนวนนี้จริงหรือไม่ ??
แล้วไอ้บอย ตัวจี๊ดหน้าเสื่อใหญ่หนีไปไหนแน่ !! และสโมสรตำรวจอันเป็นที่ตั้งเฉพาะกิจของทีมงานตัวตึง บิ๊กใหญ่แถวหน้าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจการสืบสวนสอบสวนตามกฎหมายหรือไม่ ?? สามารถเรียกข้าราชการตำรวจทั่วประเทศมา นั่งรอสอบสวนทั้งเรื่องส่วย 140 ล้าน และการกระตุ้นคดีต่างๆ ทั่วไปนั้น
ทำได้หรือไม่ !!
ทำไม ?? ตำรวจที่ถูกเรียกมา จึงไม่สามารถตั้งงบเบิกค่าเดินทางได้ และทำไม ?? ต้องสั่งโดยวาจาเท่านั้นในการเรียกตัวมาพบโดยไม่ออกหนังสือราชการเป็นลายลักษณ์อักษร
ทิ้งข้อสงสัยไว้มากมาย
ที่สุดก็มีเสียงตอบรับจากนายตำรวจบางคนที่ได้รับผลกระทบให้ข้อมูลถึงเรื่องเหล่านี้ว่า เบื้องลึกเรื่องนี้ มีเหตุจากการหักเหลี่ยมโหดกัน ดุดันมาก
เมื่อผลประโยชน์ลงตัว อะไรอะไรก็สวยสดงดงาม
แต่เมื่อผลประโยชน์ขัดกัน ก็ซัดกัน เอาเป็นเอาตาย ทำลายล้างกัน
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เสี่ย J หนึ่งในเครือข่ายพนันออนไลน์ ทะเลาะกันขัดแย้ง กับนายเป้ เสี่ย J เลยเอาข้อมูลมาป้อนให้ เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่ง ในสังกัด Dsi หวังให้กระทบกิจการนายเป้ เจ้าหน้าที่ DSI ท่านนั้นเมื่อได้ข้อมูล ก็มาขุ้ยแคะแกะรอย จนเห็นโครงร่าง และส่งข้อมูลมาให้กับ นายต้น
นายต้น ส่งต่อข้อมูลนี้ต่อให้ กับตำรวจสืบสวนชลบุรีนายนึง หวังให้ดำเนินการ
ตรงนี้เกิดคำถามว่า ทำไม ?? ทาง Dsi ไม่ทำเอง น่าคิด แต่ยังหาคำตอบยืนยันไม่ได้
เมื่อเรื่องนี้เดินเรื่องใน จ.ชลบุรี จะเป็นที่รู้กันว่า นายบอย เป็นผู้กว้างขวาง ตำรวจชลบุรีรู้จักแทบทุกคน แต่นายบอย กับ นายต้น นั้นไม่รู้จักกันเลย
จนกระทั่งมีการจับคดีเวปพนันออนไลน์ เว็บนึง ปรากฎว่า เว็บนี้ เป็นของผู้กว้างขวางอีกราย มีนาม เสี่ย J. เป็นผู้กว้างขวางด้านออนไลน์ ในภาคตะวันออก สนิทกับนักการเมืองระดับท้องถิ่น ไปถึงระดับชาติ เมื่อทีมงานนี้ถูกจับ จะมีนักการเมืองระดับ ชาติออกแรงขอจากหนักเป็นเบา และ เสี่ย J.ต้องเอาเงินก้อนโต ไปเคลียร์ด้วยเรื่องถึงจบ
เหมือนเสือถูกลูบคม !!
เสี่ย J. จึงเอาเรื่องมาเล่าให้ นายตำรวจ ชื่อย่อ ป. เพื่อให้เรื่องนี้ได้ยินไปถึงทีมงานตัวตึงชุดใหญ่เพราะนาย J. ดูแล สำนักงานนี้มาตลอด เหตุเพราะสนิทแนบแน่นและเป็นเพื่อนกัน
ปฎิบัติการเอาคืนจึงอุบัติขึ้นโดยมุ่งเป้าไปที่ นายบอย ถูกยกเป็นตัวเดินเรื่อง
นายตำรวจ ป. รู้ว่า นายบอย กับ นาย “ดพ.” ที่กำลังตกเป็นข่าวในขณะนี้ สนิทกันมาก จึงวางงานเพื่อให้เกิดการพัวพันกันพอเกิดมีการแจ้งความ นายตำรวจ ป. หวังจะหิ้วตัวนายบอย มาให้การซัดทอดอัดตามที่วางแนวทางไว้
แต่นายบอยไหวตัวทัน เพราะ นาย “ดพ.” เผลอหลุดปากบอก ว่า นายตำรวจ ป. จะออกหมายจับ นายบอย
เมื่อนายบอย หนีไป เอาตัวไม่ได้ เรื่องที่วางไว้ก็รวน เลยต้องหาทางลงเรียกคนนั้นคนนี้ มาสอบ สุดท้ายเกิดความสับสน ปิดคดีไม่ได้ในเวลานี้
นอกจากเรื่องราวในคดีนี้แล้ว ยังเกิดข้อสงสัยถึงอำนาจทางกฎหมายในการใช้สโมสรตำรวจเป็นที่ทำการ ว่า มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีความคลุมเครือมาก
นายตำรวจที่ถูกเรียกให้มารายงานตัวหรือมาให้ปากคำ ไม่สามารถเบิกค่าเดินทางได้ เหตุเพราะอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เดินทางไปนั้น และที่สำคัญไม่มีหนังสือราชการรับรอง เพราะเป็นการมาตามคำสั่งโดยวาจาเท่านั้น
นี่ไง เรื่องราวที่กำลังรอคำตอบ
ผู้บังคับบัญชาตำรวจกว่า 2 แสนชีวิต อย่าง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ จะแก้ไขอย่างไร ?? กล้าหรือไม่ ท่านผู้นำ.
อิทธิเดช ลุย.