จาก “สิบพ่อค้า ไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” สู่ “สิบพระยา ฤาจะถึง” หนึ่งพ่อค้า !”
บทเรียนจากอดีต การเมืองไทย “พายเรือในอ่าง” เดินเป็นวงกลมตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา เริ่มจากปฏิวัติรัฐประหาร สลับกับการเลือกตั้ง จากนั้นย้อนกลับไปสู่การปฏิวัติอีก ไม่สิ้นสุด !
ถึงยุคหนึ่ง บรรดานายพลดาวเต็มบ่าจากกองทัพ แสวงหาอำนาจ ด้วยการกระโดดลงเล่นการเมือง ตั้งพรรคการเมือง มีมวลสมาชิกรั้วสีเขียว เข้าสมทบจำนวนมาก
“แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ บางรายถูกโจมตีสารพัด เลือดท่วมตัว !”
ตั้งแต่จอมพลถนอม – จอมพลประภาส พอ.ณรงค์, พล.อ อาทิตย์ กำลังเอก, พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์, พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ ฯลฯ มาถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่โดดเด่น เป็นถึงนายกรัฐมนตรี ระบบเลือกตั้ง คนเดียว
พอถึงอีกยุคหนึ่ง บรรดา พ่อค้า นักธุรกิจ อยากมีอำนาจบ้าง เพื่อหวังนำอำนาจ มาปกป้องธุรกิจตนเอง ลงทุนหว่านเงินให้พรรคการเมือง ผลักดันนักเลือกตั้ง ออกมาเคลื่อนไหว อยู่เบื้องหลัง ควบคุมกลไก อำนาจบริหารรัฐบาลโดยตรง เป็นการพัฒนากลุ่มทุนนิยม ครั้งสำคัญ !
“จากยุค สิบพ่อค้า ไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง กลับเป็น สิบพระยา ไม่เท่าหนึ่งนายทุน !!”
ต่อมา กลุ่มทุนอลังการยุค “ทักษิณ -ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ทำการยึดสภาฯ ได้สำเร็จเด็ดขาด ทำให้ “กลุ่มธุรกิจการเงิน การคลัง” ยอมสยบอยู่ใต้ปีก กลายเป็นเจ้าระบบเศรษฐกิจทุนนิยม อย่างสมบรูณ์
จากนั้นปฏิบัติการล้วงลูก โยกย้ายโผทหาร ถูกกระทำอย่างซํ้าซาก “กองทัพ” เป็นฝ่ายถูกกระทำ การเมืองล้วงลูกวุ่นวายไปทั่ว การสับเปลี่ยนบุคลากรนักรบ สร้างแรงกระเพื่อมทั่วทุกซอกหลืบ
“กระทรวงกลาโหมอันศักดิ์สิทธิ์” ถึงขั้นนำสตรี ที่ไม่รู้เรื่องการทหาร แม้แต่น้อย เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กองทัพถูกแบ่งฝักฝ่าย มีทหาร “แตงโม” ผุดพราย ขึ้นมากมาย
รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” มีความแข็งแกร่งขั้นสูงสุดในสภาฯ ที่รัฐบาลอื่นๆ ไม่มีเท่ารัฐบาลชุดนี้ “การทหาร” ถูกจำกัดบทบาท อยู่ภายใต้การคอนโทรล เด็ดขาด !
ฝันร้ายผ่านไป ปีแห่งการผลัดใบผ่านมา ถึงวันนี้แม้วัฒนธรรมการเมืองด้าน “อุปถัมภ์” ยังดำรงอยู่ แต่ด้าน “ความมั่นคง” ดูราบเรียบไร้ปัญหา ส่วนความ “มั่งคั่ง !” ต้องรอดู
รอดู ผลการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะถึง..
“หนักกว่าเดิม หรือไม่ ? ให้จับตาวงจร ธุรกิจการเมือง! ที่ใครๆพูดถึง