“ศักดา” ร้องกรรมาธิการ ป.ป.ช. ช่วยด่วน หลังถูกสกัดดาวรุ่งสู่ตำแหน่งรอง อสส.สะดุด
เมื่อวันที่ 19 ต.ค.65 เวลา 12.00 น. : ดร.เกษม ศุภสิทธิ์ ทนายความ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพัทยาและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในสภาผู้แทนราษฎร ได้รับหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจาก นายศักดา ช่วงรังษี รักษาการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ให้ช่วยพิจารณาในประเด็นที่อาจจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่อง
1. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 นายศักดา ช่วงรังษี ขณะดำรงตำแหน่ง อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชัน และเลขาธิการสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ถูกอดีตอัยการสูงสุด มีคำสั่งปลดออกจากคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการเอกชนร่วมลงทุนปรับปรุงขยายการประปา ปทุมธานี-รังสิต อันเนื่องมาจากนายศักดา ช่วงรังษี ได้คัดค้านบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมปทานการประปาปทุมธานี-รังสิต จะขอต่ออายุสัญญาสัมปทานออกไปอีก 20 ปี แต่เนื่องจาก “ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ไม่ได้ให้อำนาจไว้” และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้วางหลักเกณฑ์ไว้แล้วว่า “จะให้การประปาส่วนภูมิภาคเป็นผู้ดำเนินการผลิตน้ำประปาเอง” ภายหลังเมื่อสิ้นสุดอายุสัญญาดังกล่าวแล้ว ต่อมาภายหลังคณะกรรมการฯ ซึ่งไม่มีนายศักดา ช่วงรังษี ร่วมเป็นคณะกรรมการอยู่ด้วย ได้มีมติให้บริษัทเอกชนรายดังกล่าว ต่ออายุสัญญาสัมปทาน ออกไปอีก 20 ปี
2. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ได้มีการประชุมคณะกรรมการอัยการ เพื่อคัดเลือกอัยการสูงสุด ได้มีประธานสหภาพรัฐวิสาหกิจการประปาส่วนภูมิภาค มายื่นหนังสือร้องเรียนคัดค้านการแต่งตั้งอัยการสูงสุดคนใหม่ และต่อมาได้มีการปล่อยข่าวให้ร้าย นายศักดา ช่วงรังษี ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการคัดค้านการแต่งตั้งอัยการสูงสุด เพื่อมิให้นายศักดา ช่วงรังษี ได้รับการพิจารณาแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตามลำดับอาวุโส
3. เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2565 มีผู้ประสงค์ร้าย เขียนบัตรสนเท่ห์ ส่งไปยังอดีตอัยการสูงสุด ร้องเรียนกล่าวหาว่า “นายศักดา ช่วงรังษี ไม่อุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการ และละทิ้งหน้าที่” ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 66 ในขณะ นายศักดาฯ ดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปกครองภูเก็ต ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชัน และ ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และต่อมาได้มีการพิจารณาของคณะกรรมการอัยการ มีมติให้ นายศักดา ช่วงรังษี เลื่อนการแต่งตั้งขึ้นเป็นรองอัยการสูงสุด ซึ่งเดิมจะมีการแต่งตั้งกันในเดือนสิงหาคม 2565 แต่ได้มีการเลื่อนตลอดมา และในการสอบวินัยนั้น นายศักดา ช่วงรังษี ได้เสนอข้อมูล ทั้งพยานบุคคล และพยานเอกสาร อันระบุได้ว่า “นายศักดา ช่วงรังษี ได้ไปปฏิบัติราช ณ สำนักงานต่าง ๆ ทั้งสามแห่ง รวบรวมเสนอคณะกรรมการสอบสวน เป็นเอกสารจำนวนมากกว่า 1,000 แผ่น แต่ก็ไม่ได้รับการตรวจสอบและพิจารณาหลักฐานดังกล่าว รวมทั้งไม่ยอมรับฟังพยานบุคคล และพยานเอกสารตามที่เสนอไป”
ต่อมา คณะกรรมการสอบสวน ได้ชี้มูลความผิดในเรื่องดังกล่าวว่า นายศักดา ช่วงรังษี ขณะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอธิบดีอัยการปกครอง สำนักงานคดีปกครองภูเก็ต มีมูลอันควรสงสัยว่าไม่ได้ไปปฏิบัติราชการพร้อมทั้งอ้างคำสั่งคณะกรรมการอัยการที่ 5/2556 เรื่องลงโทษข้าราชการอัยการ ซึ่งได้มีกรรมการอัยการชั้นผู้ใหญ่หลายคนได้พูดในที่ประชุมคณะกรรมการอัยการ ในวันที่ 12 กันยายน 2565 ว่าตามคำสั่งดังกล่าว รูปเรื่องข้อเท็จจริงไม่ตรงกับกรณีของนายศักดา ช่วงรังษี แต่อย่างใด และต่อมาคณะกรรมการอัยการได้ มีมติเอกฉันท์ ให้นายศักดา ช่วงรังษี ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรองอัยการสูงสุด
4. นายศักดา ช่วงรังษี เห็นว่ากระบวนการสอบสวนที่ล่าช้า การไม่รับฟังพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคล และเอกสารอย่างครบถ้วน ของคณะกรรมการสอบสวน อาจเป็นเงื่อนไขให้ไม่ได้รับการพิจารณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองอัยการสูงสุดได้ เนื่องจากจะมีการเสนอความเห็นไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และคณะองคมนตรี ในเวลาโปรดเกล้าฯว่า “เป็นผู้ที่อยู่ในระหว่างการถูกตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว เพื่อให้ดูเสมือนหนึ่งว่า มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งรองอัยการสูงสุดได้”
ทั้งนี้ ดร.เกษม ศุภสิทธิ์ ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าว ต่อพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ ให้ช่วยพิจารณาให้ความเป็นธรรมในประเด็นดังกล่าว และได้มีการบรรจุวาระให้คณะกรรมาธิการฯ พิจารณาตามอำนาจหน้าที่ต่อไปแล้ว
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน