การเมืองวันนี้ “เถยจิต” โจรล้วน ๆ กลับไป กลับมา ! ดร.ไตรรงค์ “ฟันธง” !
31 ก.ค. 2565 ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก
#รวมไทยสร้างชาติ
ยังถกเถียงกันไม่จบว่าจะแก้กฎหมายเลือกตั้งโดยใช้วิธีหารด้วย 500 หรือ 100 ดี ส่วนใหญ่ของนักการเมืองก็คิดเพียงแค่ว่า วิธีไหนที่พวกตนจะได้เปรียบในการเลือกตั้งให้มากที่สุด การขอแก้ไขจึงเป็นกิเลสของนักการเมืองล้วน ๆ เพราะพวกเขาไม่เคยถามประชาชนผู้เคยมีมติด้วยเสียงส่วนใหญ่ให้ใช้รัฐธรรมนูญ 2560 (ฉบับของคุณมีชัย ฤชุพันธุ์) เป็นรัฐธรรมนูญของประเทศ
…แต่ที่ควรจะทำเพื่อชาติกันจริง ๆ มันต้องเป็นการแก้ไขกฎหมายปล่อยให้ประเทศได้มีพรรคการเมืองหลาย ๆ พรรค โดยมีข้อจำกัดว่าอย่าให้มีการตั้งพรรคง่ายเกินไปเหมือนเปิดร้านกาแฟ มิฉะนั้นคนไม่ดีใคร ๆ ก็ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาก็เพื่อจะฉวยโอกาสขอและรีดไถเงินจากคนที่รู้จัก และถ้าได้เข้าไปในสภาผู้แทน (เพราะกฎหมายเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญเปิดโอกาส) พวกเขาก็จะใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ ไปต่อรองขอเงินถ้าไม่จากพรรคฝ่ายค้านก็ต้องจากพรรคฝ่ายรัฐบาล ผิดกฎหมายหรือผิดจริยธรรมนั่นเหรอ อย่าไปถามคนที่มี #เถยจิต เป็นโจรเลยครับ พวกมันไม่รู้สึกละอายใจอะไร ๆ เหมือนกับคนดี ๆ เขาหรอกครับ (คำว่า “เถยจิต” นี้หมายถึงจิตที่ประกอบด้วยความเป็นขโมย หรือ จิตคิดขโมย)
รัฐธรรมนูญฉบับของคุณมีชัย ควรจะเป็นรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับบริบทของเมืองไทยที่มีนักการเมืองจำนวนมากมี #เถยจิต เป็นเช่นนี้ บวกกับ เรายังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยกระจายอยู่ในทุกภาคที่พร้อมจะขายสิทธิขายเสียงของตนในการเลือกผู้แทนราษฏร ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เงินก็เห็นแก่หน้าของหัวคะแนนที่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนกันมาก่อน โดยไม่เคยต้องพิจารณาก่อนว่า คนที่ตนจะเลือกให้เป็น ส.ส. ของตนนั้น เป็นคนดี-ชั่วอย่างไรมีปัญญาและมีศีลธรรมอย่างไร เพราะถ้าได้ ส.ส. ที่เป็นคนมีปัญญาแต่ใจชั่ว ย่อมอันตรายต่อชาติบ้านเมืองกว่าคนที่ด้อยปัญญาแต่มีใจชั่วพอ ๆ กัน มีนักการเมืองจากพรรคเล็ก ๆ ที่ทำงานให้ชาติในฐานะเป็น ส.ส. ดีกว่านักการเมืองจากพรรคใหญ่ ๆ อยู่หลายคน เช่น นายแพทย์ระวี มาศฉมาดล และคุณชัชวาลล์ คงอุดม เป็นต้น ส่วนฝ่ายค้านพรรคขนาดกลางต้องชมคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่พูดอย่างสุภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะเห็นด้วยทุกอย่างที่ท่านพูด ผมวัดจากการพูดทั้งในสภาฯ และนอกสภา (โดยเฉพาะจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวที่เพิ่งจบลง) ประเมินดูว่าการพูดของแต่ละท่านนั้นมีเหตุมีผล เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มีความสุภาพไม่กุ้ย ไม่หยาบคาย และเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายในความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่ใช่คนที่ปากอย่างใจอย่างเหมือนอีกหลาย ๆ คน แต่ก็มีอยู่หลายคนจากพรรคเล็ก ๆ ที่พูดจาและมีความประพฤติไม่เหมาะสมที่จะได้รับเกียรติให้นั่งในสภาฯ อันมีเกียรติของประเทศไทย (ทำไมเราไม่ใช้วิธีของเยอรมัน)
ส่วนพรรคการเมืองที่ขนาดใหญ่และขนาดกลางนั้นเล่าแม้จะมี ส.ส. จำนวนมาก แต่ก็เหมือนมีจำนวนน้อยเพราะคุณค่าของความเป็นพรรคการเมืองนั้นอยู่ที่อุดมการณ์เพื่อชาติ มิใช่วัดจากจำนวน ส.ส. เพียงอย่างเดียว ส.ส. ส่วนใหญ่อาจจะเป็นคนดีมีอุดมการณ์แต่ถูกครอบงำโดยคณะผู้บริหารที่ไม่ได้มีอุดมการณ์เพื่อชาติจริง ๆ เพราะต้องคอยบริหารพรรคเพื่อตอบสนองความต้องการของ #ผู้มีอำนาจเหนือกว่าคณะผู้บริหารฯ อีกชั้นหนึ่ง เพราะผมยังมองไม่เห็นว่า มีพรรคใหญ่ ๆ พรรคใดที่ ไม่มีผู้มีอำนาจเหนือกว่าผู้บริหารฯ บางพรรคเจ้าของอำนาจเหนือนั้นอาจจะเป็นของบางตระกูล บางพรรคเจ้าของอำนาจเหนืออาจจะเป็นเพียงบุคคลหรือคณะบุคคล อาจจะเป็นเพียง 1 คน 2-3 คน หรือ 4-5 คน ที่เกาะกลุ่มกันสร้างอำนาจเหนือ (แต่ปากทุกคนจะพูดว่าเรามีประชาธิปไตยในพรรคของตน)
#ผู้มีอำนาจเหนือ เหล่านี้ ล้วนคุมบังเหียนของพรรค ลึก ๆ แล้วก็เพื่อ ลาภ ยศ สรรเสริญของพวกตนเท่านั้น คำว่ามีอุดมการณ์เพื่อชาติเพื่อประชาธิปไตย เป็นเพียงวาทกรรมให้ฟังดูแล้วดีเพียงเท่านั้น เมื่อพรรคมีอำนาจรัฐลูกน้องจะทำชั่วอย่างไร ก็จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ตราบใดที่ลูกน้องเหล่านั้น ยังสามารถสนองลาภ ยศ สรรเสริญของตนเองได้ (แม้จะไม่ตรงกับผลประโยชน์ของชาติและประชาชนก็ตาม) มันเป็นเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จนถึงปัจจุบัน (จะยกเว้นบ้างก็เฉพาะรัฐบาลที่อยู่ในช่วงสั้น ๆ ไม่กี่เดือน เพราะโกงไม่ทัน)
ประเทศนี้จึงยังต้องการพรรคการเมืองที่มีผู้บริหารและ ส.ส. ที่มีความสุจริตใจ ไม่ปากอย่างใจอย่าง ในการทำงานการเมืองเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างแท้จริง เป็นพรรคการเมืองที่พอจะฝากอนาคตของประเทศชาติไว้ด้วยความสบายใจว่าพวกเขาจะไม่ใช้อำนาจทางการเมืองที่ประชาชนมอบให้ไปโกงกินอย่างที่เราเคยเห็นผ่านตามาหลายครั้งหลายสมัยตลอดประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย
นักการเมืองทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ที่มีความคิดเห็นเช่นนี้ ถ้าไม่รวมตัวกัน ต่างถือ ทิฐิ มานะ อยากมีพรรคเป็นของตัวเอง เพื่อตัวเองจะได้มีแสงกับเขาบ้าง ถ้าคนดีๆ (มีอยู่มาก) ไม่คิดจะรวมกัน ยังเป็นวีรชนเอกชน อยากเด่นอยากดังอยู่คนเดียว หรือนักการเมืองรุ่นใหม่รุ่นเก่า ยังยึดอายุเป็นหลักด่าว่าสาปแช่งไม่เผาผีกัน เพียงเพราะความคิดแตกต่างกันประเทศคงไปได้อย่างลำบาก
ทำไมไม่คิดปรับความคิดเข้าหากันด้วยความนับถือกันและกัน เพื่อแสวงหาความคิดที่เป็นกลาง ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายพอจะรับกันได้ ให้กลายเป็นความคิดใหม่ที่สามารถจะผลักดันประเทศให้เคลื่อนไปข้างหน้าโดยมีอุปสรรคที่น้อยที่สุด (Thesis + Anti-Thesis = Synthesis คือ ความคิดใหม่ + ความคิดเก่า = ความคิดที่ประสมประสานที่ดีกว่าความคิดเดิม) การเล่นการเมืองก็จะหนีพ้นความก้าวร้าว ความเอาแต่ใจตัวเองอย่างพวกเรดการ์ด (Red Guard) ของท่านเหมา เจ๋อ ตุง ในอดีต
คนที่อยากเล่นการเมืองเพื่อชาติจริง ๆ ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ทำไมไม่ลองรวมตัวกันตั้งพรรคใหม่ ๆ สลัดตัวออกจากการถูกครอบงำโดย “ผู้มีอำนาจเหนือ” ในพรรคต่าง ๆ มารวมกันทำงานการเมือง ด้วยจิตที่มุ่งมั่น “ทำดีเพื่อชาติแบบคนรุ่นใหม่” “ทำดีเพื่อศาสนา แบบคนรุ่นใหม่” “ทำดีเพื่อสถาบันกษัตริย์ แบบคนรุ่นใหม่” (กล่าวคือไม่ยอมเป็นไทยเฉย เมื่อเห็นภัยกำลังจะระรานสถาบันของชาติทั้งสามสถาบัน) แต่มีความคิดริเริ่มที่ก้าวหน้า
ต้องออกมาพูดดักเอาไว้ เพราะได้ข่าวว่าจะมีพรรคการเมืองเกิดใหม่อีกพรรคหนึ่งในวันที่ 3 สิงหาคม 2565 ชื่อว่า #พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอตั้งความหวังว่าขอให้เป็นพรรคการเมืองใหม่ที่มีอุดมการณ์ใหม่ที่ทันสมัย ทันกับบริบทของประเทศและของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายถ้าประกาศอุดมการณ์แล้ว ต้องยึดมั่นอย่างเคร่งครัดไม่ใช่ประกาศเพียงให้ดูดี แต่เลือกปฏิบัติเฉพาะส่วนที่พวกตนได้ประโยชน์ แม้จะเสี่ยงกับการเสียประโยชน์ของชาติก็ยอม
จงเรียนรู้ความบกพร่องของพรรคการเมืองใหญ่ ๆ เขื่อง ๆ ที่มักจะทำ “ทุจริต 3” กันเป็นประจำคือ “ทำกายทุจริต (การโกงกิน)” “ทำวาจาทุจริต (การโกหก เสียดสี หยาบคาย)” “มโนทุจริต (การสาปแช่งให้คนที่เห็นต่าง ให้ตายหรือประสบความพินาศ)”
แล้วจงเป็นพรรคที่ทำอะไรใหม่ ๆ ให้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับจะได้เป็นสถาบันที่เป็นที่พึ่งของประชาชนและประเทศชาติได้อย่างแท้จริงทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอีกยาวไกล
#ขออวยพรด้วยใจจริง
ผมขอเรียนว่าความเห็นที่ลงในเฟซบุ๊กเป็น #ความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรค ปชป. แต่อย่างใด
ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี