กองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ ความผิดต่อชีวิต-ร่างกาย และความผิดเกี่ยวกับทรัพย์
วันที่ 20 ก.ค.65 เวลา 11.30 น. : พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก, พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม, พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์, พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์, พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง, พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รอง ผบช.น. ได้แถลงผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
คดีที่ 1 จับกุมคนร้ายประสบปัญหาทางการเงิน ใช้อาวุธปืนปลอมชิงทรัพย์ร้านทอง ในห้างสรรพสินค้าย่านพัฒนาการ สน.คลองตัน บก.น.5 : เมื่อวันที่ 19 ก.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมตัว นายประภากร หรือ กร อายุ 42 ปี ที่ห้องพักเลขที่ 210 ชั้น 2 ฝันดีแมนชั่น ซอยชยางกูร 38 ถนนชยางกูร อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมได้ตรวจยึดของกลางคือ สร้อยข้อมือทองคำจี้ รูปหัวใจ พบในขวดโลชั่นทาผิว NIVEA จำนวน 1 เส้น, สร้อยข้อมือทองคำจี้ รูปปี่เชี้ยะ พบในขวดโลชั่นทาผิว NIVEA จำนวน 1 เส้น, สร้อยข้อมือทองคำลายลูกคิดพลอย พบในขวดโลชั่นทาผิว NIVEA จำนวน 1 เส้น, สร้อยข้อมือทองคำจี้เลข 8 พบในขวดโลออนครีม NIVEA จำนวน 1 เส้น, สร้อยข้อมือทองคำจี้กุหลาบหัวใจเลข 9 พบในขวดโลออนครีม NIVEA จำนวน 1 เส้น, สร้อยข้อมือทองคำลายดอกพิกุล พบในขวดแป้ง POND’S จำนวน 1 เส้น, ตะขอทองคำรูปตัว S พบในขวดแป้ง POND’S จำนวน 1 ชิ้น, ธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับ 500 บาท พบในกระเป๋ากางเกงข้างหน้าซ้าย ตัวที่ผู้ต้องหาสวมใส่อยู่ จำนวน 1 ฉบับ, ธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับ 50 บาท พบในกระเป๋ากางเกงข้างหน้าช้ายที่ผู้ต้องหาสวมใส่อยู่ จำนวน 1 ฉบับ, ธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับ 1,000 บาท จำนวน 12 ฉบับ, โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Realme จำนวน 1 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Redmi จำนวน 1 เครื่อง และชิมโทรศัพท์ AIS พบในกระเป๋ากางเกงข้างหน้าด้านขวา จำนวน 1 เบอร์
โดยกล่าวหาว่า “ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้โดยมีอาวุธโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อพ้นการจับกุม และพาอาวุธเข้าไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร” จากการตรวจสอบประวัติ นายประภากรฯ เคยมีประวัติการต้องโทษ คดีฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน โดยประสบปัญหาการขาดทุนจากร้านที่เปิดและถูกดำเนินคดี กรณีไม่ปิดจุดเสี่ยง สถานบันเทิง ห้าง คลินิก บ่อน อาบ อบนวด
คดีที่ 2 กรณีผู้ก่อเหตุขับรถยนต์ชนเด็กแล้วอุ้มขึ้นรถไปวางทิ้งไว้หน้าโรงพยาบาลสุขสวัสดิ์ สน.บุคคโล บก.น.8 : เมื่อวันที่ 19 ก.ค.65 เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บุคคโล ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ราษฎร์บูรณะ ว่ามีชาย อายุประมาณ 50 ปี สวมเสื้อยืดสีฟ้า ได้อุ้มเด็กซึ่งได้รับบาดเจ็บมาวางทิ้งไว้หน้า โรงพยาบาลสุขสวัสดิ์ แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ราษฎร์บูรณะ ได้รับข้อมูลจากเด็กที่ถูกวางทิ้งไว้หน้าโรงพยาบาล อายุประมาณ 4 ปี และถูกรถชนบริเวณลานจอดรถห้างบิ้กซี สาขาดาวคะนองแล้วถูกอุ้มขึ้นรถแล้วนำมาวางทิ้งไว้หน้าโรงพยาบาลดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บุคคโล ได้ออกตรวจที่เกิดเหตุและตรวจสอบกล้องวงจรปิดของห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาดาวคะนอง บริเวณทางเข้า–ออก และภายในบริเวณลานจอดรถของห้างฯ พบว่ารถยนต์ที่ขับมาชนเด็กเป็นรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด กะบะด้านหลังติดตั้งตู้ทึบ สีขาว หมายเลขทะเบียน 2 ฒฒ 348 กรุงเทพมหานคร โดยขับรถเข้ามาภายในห้างฯ เวลาประมาณ 12.45 น.
จากนั้นได้จอดเพื่อนำของมาส่งที่ห้าง ๆ ต่อมาได้ขับรถเลี้ยวเข้ามาภายในลานจอดรถเพื่อที่จะเดินทางกลับ และเมื่อเวลาประมาณ 13.15 น. ได้ขับรถชนเด็ก (ตามคำบอกเล่าพยานที่เห็นเหตุการณ์) จากนั้นเวลาประมาณ 13.19 น. ได้ขับรถออกจากห้างฯ เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่าเมื่อเวลาประมาณ 13.21 น. รถยนต์คันดังกล่าวขับมุ่งหน้าผ่านบริเวณแยกดาวคะนอง แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กรุงเทพฯ และได้ขับมุ่งหน้าไปทางแยกพระรามที่ 2 ไปตามถนนสุขสวัสดิ์
จากนั้นเวลาประมาณ 13.25 น. ได้ขับผ่านบริเวณห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาบางปะกอก และได้กลับรถบริเวณแยกราษฎร์พัฒนา แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ ต่อมาเวลาประมาณ 13.28 น. ได้เลี้ยวรถจอดบริเวณหน้า โรงพยาบาลสุขสวัสดิ์แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ จากนั้นคนขับรถได้อุ้มเด็กลงมาวางทิ้งไว้ที่หน้าโรงพยาบาลดังกล่าว แล้วขับรถหลบหนีไป มุ่งหน้าแยกพระรามที่ 2
เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนได้สอบข้อมูลจากทะเบียนรถคันดังกล่าว จึงได้ทราบว่ามีนายอานนท์ฯ อายุ 52 ปี เป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว และนำตัวเด็กไปวางทิ้งไว้ที่หน้าโรงพยาบาลสุขสวัสดิ์ จึงได้ติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป จากการตรวจสอบประวัติ นายอานนท์ฯ ไม่มีประวัติการต้องโทษ ผลการตรวจวัดไม่มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย ไม่มียาเสพติดในร่างกาย
คดีที่ 3 ตำรวจ 191 เปิดแผนวิเคราะห์อาชญากรรมสยบโจรลอบตัดสายไฟเมืองกรุง : เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 65 เวลา 00.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย บริเวณริมถนนราษฎร์รัฐพัฒนา แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ดังนี้ คือนายอณุ (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี และ น.ส.ปารวตรี (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี พร้อมด้วยของกลาง สายเคเบิ้ล น้ำหนัก 16 กิโลกรัม, สายเคเบิ้ล อยู่ภายในท่อพลาสติกสีดำ เส้นผ่านศูนย์กลาง 3 ซม. ยาว 6 เมตร จำนวน 1 เส้น, สายเคเบิ้ล อยู่ภายในท่อพลาสติกสีดำ เส้นผ่านศูนย์กลาง 4 ซม. ยาว 6.5 เมตร จำนวน 1 เส้น, คีมตัดสายไฟ สีเขียว-ดำ จำนวน 1 อัน, ปลอกหุ้มสายเคเบิ้ลเปล่า จำนวน 13 อัน, รถกระบะอีซูซุ รุ่นดีแม็ก สีขาว หมายเลขทะเบียน XXX-8982 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน
โดยแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือ การพาทรัพย์นั้นไป” สืบเนื่องมาจากในห้วงเดือนมีนาคม–กรกฎาคม 2565 มีผู้เสียหายและประชาชนพลเมืองดี ได้แจ้งเหตุผ่านโทรศัพท์สายด่วน 191 เกี่ยวกับเหตุลักสายไฟในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องจำนวนหลายเหตุ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน และระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในวงกว้าง ตามดำริของผู้บัญชาการตำรวจนครบาล “นครบาลใส่ใจ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน” กองกำกับการสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ได้รวบรวมสถิติ วิเคราะห์ข้อมูลอาชญากรรมและพฤติกรรมของกลุ่มคนร้าย เพื่อเฝ้าระวังติดตามป้องกันมิให้คนร้ายสามารถก่อเหตุอาชญากรรมซ้ำ ตลอดจนสืบสวนติดตามพฤติกรรมกลุ่มบุคคลต้องสงสัยที่น่าเชื่อได้ว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุมาอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งในวันที่ 15 ก.ค. 65 เวลา 00.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจงานสายตรวจ 2 กองกำกับการสายตรวจได้ออกตรวจพื้นที่ตามแผนวิเคราะห์อาชญากรรม ซึ่งมีการวางแผนวิเคราะห์และประเมินพื้นที่กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสในการเกิดอาชญากรรม โดยขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจตราไปตามเส้นทางที่กำหนดได้พบรถกระบะต้องสงสัยจอดอยู่ในบริเวณ ซอยเคหะร่มเกล้า 78 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร และเมื่อเฝ้าสังเกตการณ์จึงพบว่ารถกระบะคันดังกล่าวเป็นรถที่อยู่ในกลุ่มต้องสงสัยในการก่อเหตุลักลอบตัดสายไฟสายเคเบิ้ล โดยมีชายเป็นผู้ขับขี่ ทราบชื่อต่อมาในภายหลังว่า นายอณุฯ ได้ลงมาจากรถ จากนั้นได้ปีนขึ้นไปบนสายเคเบิ้ลในบริเวณดังกล่าว และมีผู้หญิงคนหนี่งคอยให้ความช่วยเหลือ ซึ่งทราบชื่อต่อมาในภายหลังว่า น.ส.ปารวตรี เป็นผู้ที่นั่งรถมาด้วยกัน ได้ขนสายเคเบิ้ลที่ถูกตัดกองทิ้งลงมาขึ้นไปที่บริเวณท้ายรถกระบะ และทั้งสองได้ขับรถออกจากบริเวณดังกล่าวไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ติดตามรถกระบะต้องสงสัย จนกระทั่งพบว่ารถกระบะได้ถูกนำไปจอดที่บริเวณริมถนนราษฎร์รัฐพัฒนา แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบพบว่าบุคคลทั้งสองกำลังช่วยกันปลอกสายเคเบิ้ลที่เพิ่งจะลักลอบตัดมา และพบสายเคเบิ้ลจำนวนมากอยู่ในบริเวณท้ายรถกระบะ ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองให้การ “รับสารภาพ” ว่า ได้นำสายเคเบิ้ลที่ลักลอบตัดมาจากสถานที่ต่าง ๆ มาปลอกเพื่อเอาทองแดงข้างในไปขายต่อในราคากิโลกรัมละ 180-190 บาท โดยก่อนหน้านี้ได้เคยก่อเหตุลักลอบตัดสายไฟและสายเคเบิ้ลในพื้นที่กรุงเทพมหานครมาแล้วจำนวนหลายครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสอง พร้อมด้วยของกลางนำส่ง พนักงานสอบสวน สน.บางชัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาทั้งสองราย ผลปรากฏดังนี้ นายอณุฯ เคยต้องโทษ คดียาเสพติดเมื่อ ปี 2554 สภ.ห้วยยาง จ.ประจวบคีรีขันธ์ และน.ส.ปารวตรีฯ มีประวัติ ข้อหาจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา
พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. ได้เน้นย้ำเพื่อให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า จะมุ่งเน้นการป้องกันอาชญากรรม ให้กับพี่น้องประชาชน และเมื่อเกิดเหตุแล้วจะเร่งทำการ สืบสวน ติดตามจับกุม คนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วทุกคดีและจะดำเนินการกวาดล้างอาชญากรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครมีความปลอดภัยมากที่สุด
บช.น. ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติดอย่างเคร่งครัด พบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน 191 หรือสถานีตำรวจท้องที่
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน