27 กุมภาพันธ์ 2568 นายไพศาล พืชมงคล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Paisal Puechmongkol” ระบุว่า
เมื่อค่ำวานนี้ ได้ไปร่วมงานสังสรรค์ สนช. 2549 ที่ภัตตาคารตะวันแดง มีเพื่อน สนช. 2549 ไปร่วมงานคับคั่งกว่า 200 คน จากจำนวนทั้งหมด 250 คน ซึ่งต้องถือว่ายังเป็นการรวมกลุ่มรวมตัว ที่มีประสิทธิภาพมากเพราะเวลาล่วงเลยมาเกือบ 20 ปีแล้ว ยังสามารถรวมตัวกันติดได้ขนาดนี้ นี่ก็เป็นฝีมือของท่านศักดิ์ชัย คนสนิทของท่านประธานมีชัย ที่ท่านได้ประสานงานเพื่อนพ้องน้องพี่อย่างใกล้ชิดตลอดมา ไปงานคราวนี้ รู้สึกสังเวชใจมาก เพราะเพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งหลายแก่ตัวไปเป็นอันมาก แต่ที่น่าทึ่งก็คือ ท่านประธานมีชัยยังคงแข็งแรงมากความทรงจำยังดีมาก ลีลาลวดลายชั้นเชิง ก็ยังเหมือนเดิม
แต่ถึงปานนี้ ก็ยังคงเห็นว่า ถ้ามีการยึดอำนาจอีกท่านไม่ควรจะเข้ามาเกี่ยวข้องอีกแล้ว เพราะบ้านเมืองเสียหายมากพอแล้ว จากฝีมือร่างรัฐธรรมนูญและกฎหมายของท่าน
ผมได้รับเชิญให้นั่งโต๊ะเดียวกันกับท่าน อดีตหัวหน้า คมช.พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งนั่งโต๊ะเดียวกันกับท่านประธานมีชัย ฤชุพันธ์ ก็ได้คุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนเดิม
ท่านพลเอกสนธิ ปรารภว่า ยึดอำนาจมาเกือบ 20 ปีวันนี้ทุกอย่างกลับเข้าไปที่เดิมอีกแล้ว และหนักกว่าเดิมมาก ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ผมก็บอกว่า ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยแหละครับ และยังทวงถามท่านว่า ในคืนวันที่ 19 กันยา นั้น ผมได้เสนอท่านไว้ 2 ข้อ ท่านรับปากแต่ท่านก็ทำไม่ได้คือ
ข้อที่ 1 อย่าเพิ่งรีบเลือกตั้ง จะต้องปฏิบัติภารกิจ ที่เป็นเหตุแห่งการยึดอำนาจให้แล้วเสร็จ สิ้นเชิงก่อน
ข้อ 2 อย่าให้คนอื่นเป็นนายกท่านจะต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเองเพื่อ ธำรง ภารกิจในการยึดอำนาจให้สำเร็จลุล่วง
แต่ทั้ง 2 ข้อนี้ท่านก็ไม่ทำ เพราะท่านยึดอำนาจไว้เพียงปีเดียวก็เลือกตั้ง อำนาจรัฐก็ตกไปอยู่ในมือของพรรคพลังประชาชนอีกครั้งหนึ่ง และท่านก็มอบให้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เกิดความขลุกขลักขึ้น เพราะนายกไม่ใช่คนยึดอำนาจ คนยึดอำนาจก็ไม่ได้เป็นนายก จึงอิหลักอิเหลื่อ
พลเอกสนธิยังกล่าวย้ำอีกว่าสถานการณ์ตอนนั้นท่านคงยึดอำนาจไม่ได้ เพราะว่า
- ท่านไม่ได้กุมกำลังทหารของกองทัพภาคที่ 1 คงใช้กำลังทหารได้เพียง 3 หน่วย คือจากกองทัพภาคที่ 3 กองทัพภาคที่ 4 และหน่วยบัญชาการศูนย์สงครามพิเศษ ลพบุรี และ
- พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีความมั่นคงอยู่ ท่านไม่สามารถหยั่งทราบความคิดและการเตรียมการของพลเอกชวลิตได้ว่าเตรียมการรับมืออะไรไว้บ้าง
แต่ทันทีที่ นายกทักษิณปลดพลเอกชวลิตจากรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และปลดนายเสนาะ เทียนทอง ออกจากตำแหน่งประธานวิปรัฐบาล ท่านพลเอกสนธิก็บอกว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ผมมั่นใจว่ายึดอำนาจได้สำเร็จแน่
ในที่สุดก็ได้ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
สาเหตุของการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 แม้ว่ามีสาเหตุจากหลายเรื่อง เรื่องทั่วไปก็คือการทุจริตคอรัปชั่น และความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง
แต่เรื่องที่เป็นจุดชี้ขาด ก็คืองานทำบุญประเทศ ที่มีมือดีวางแผนแยบยล ให้นายกทักษิณ เข้าไปนั่งทำบุญในวัดพระแก้ว ไปวัดที่วัดทาง ให้นั่งทับที่พระราชอาสน์ของพระเจ้าอยู่หัว จนกระทั่ง เป็นข่าวลือลั่นสนั่นในวัง และดังสนั่นออกไปภายนอก จุดนี้จึงเป็นจุดแตกหัก
โดยความจริงนั้นคุณทักษิณไม่ทราบเรื่อง
ความจริงคือรัฐบาลนั้นได้ตั้งคณะกรรมการเตรียมการทำบุญประเทศ โดยมีพลเอกชวลิตเป็นประธาน และผมก็เป็นกรรมการ คณะกรรมการนั้น ได้ประชุมเตรียมงานหลายครั้ง กำหนดการจัดงานออกเป็น 2 พิธี คือ
- พิธีหลวง พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นประธาน ทำพิธีในโบสถ์วัดพระแก้ว
- พิธีราษฎร์ ทำที่ท้องสนามหลวงและทุกจังหวัดทั่วประเทศพร้อมกัน โดยนายกเป็นประธานพิธีราษฎร์
มีกำหนดการว่าเมื่อทำพิธีหลวงในวัดพระแก้วเสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีก็จะออกจากวัดพระแก้วมาที่ท้องสนามหลวงทำพิธีราษฎร์พร้อมกันทั้งประเทศ
ซึ่ง แบบแผนพิธีนี้ พลเอกชวลิตก็ได้ถวายรายงานต่อพระเจ้าอยู่หัวทุกระยะ
ต่อมาเมื่อนายกทักษิณปลดพลเอกชวลิตออกจากตำแหน่งรองนายก ท่านวิษณุเครืองามก็มาเป็นประธานแทน และให้รวบเอาพิธีการทั้งสอง เหลือเพียงพิธีการเดียว คือยกเลิกพิธีหลวงเหลือแต่พิธีราษฎร์ แต่ให้นายกทักษิณไปเป็นประธาน ทำพิธีในโบสถ์วัดพระแก้วด้วย
จากนั้นก็มีทีมงาน ไปวัดที่วัดทางว่าพระเจ้าอยู่หัวประทับนั่งในโบสถ์วัดพระแก้วตรงไหน ก็ตั้งเก้าอี้นายกทักษิณไว้ตรงนั้น จนเป็นข่าวนินทากันลั่นพระราชวัง
การรวบ 2 พิธีเป็นพิธีเดียว และการจัดให้ นายกทักษิณไปนั่งอยู่ในโบสถ์วัดพระแก้วนั้น เป็นเรื่องของคณะกรรมการดำเนินการและเมื่อออกหมายกำหนดการแล้ว นายกรัฐมนตรีก็ต้องไปตามกำหนดการนั้น โดยที่ไม่ สังหรณ์ใจว่า กำลังเหยียบลงไปใน หลุมขวากที่เขาวางไว้อย่างแยบยล และกลายเป็นเหตุตัดสินใจของการยึดอำนาจ 19 กันยายน 49 นั่นเอง