ไฮไลท์

คณะ EU-ABC และ EABC เข้าพบนายกฯ แพทองธาร หารือความร่วมมือเศรษฐกิจไทย-ยุโรปเชื่อมั่นไทยมีศักยภาพทางธุรกิจ และเป็นประตูสู่อาเซียน


19 กุมภาพันธ์ 2025, 17:07 น.

 

คณะผู้บริหาร สมาชิก EU-ABC และ EABC พบหารือ นายกฯ เน้นย้ำนโยบายรัฐบาลขับเคลื่อนความร่วมมือเศรษฐกิจไทย-ยุโรป

 

ภาคเอกชนยุโรปเชื่อมั่นไทยมีศักยภาพทางธุรกิจ และเป็นประตูสู่อาเซียนที่สำคัญ พร้อมขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

 

 

วันนี้ (วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 11.15 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล คณะผู้บริหารและสมาชิกสภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน (EU-ASEAN Business Council: EU-ABC) และสมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์ (European Association for Business and Commerce: EABC) เข้าเยี่ยมคารวะ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือและรับทราบนโยบายของรัฐบาล โดยมี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายวีระพงษ์ ประภา ผู้แทนการค้าไทย เข้าร่วมด้วย

 

โดยนายเดวิด เดลี (H.E. Mr. David Daly) เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย นายโนเอล คลีเฮน (Mr. Noel Clehane) รองประธานคณะกรรมการบริหาร EU-ABC และนางภารณี อดุลยพิเชฏฐ์ ประธาน EABC ประเทศไทย เป็นผู้นำคณะผู้แทนบริษัทยุโรปในอาเซียน ใน 5 สาขาธุรกิจ ได้แก่ สาขาการเงินและธุรกิจประกันภัย สาขาสินค้าอุปโภคบริโภค สาขาการคมนาคม โลจิสติกส์ และพลังงาน สาขาเคมีภัณฑ์ เภสัชภัณฑ์ และสินค้าเกษตร และสาขาการให้คำปรึกษา เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี

 

 

ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

  • นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและยินดีที่ได้พบกับคณะผู้บริหารและสมาชิก EU-ABC และ EABC ในวันนี้ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะนำเสนอวิสัยทัศน์และนโยบายสำคัญของรัฐบาลให้กับภาคเอกชนยุโรป โดยในห้วงการประชุม World Economic Forum เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้พบหารือกับรัฐบาลและผู้นำภาคธุรกิจของยุโรปจำนวนมาก พร้อมเน้นย้ำความพร้อมของไทยในการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนยุโรป และได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นด้านนวัตกรรมสมัยใหม่ ทั้งนี้ การหารือครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับภาคเอกชนยุโรปในอาเซียน โดยเน้นย้ำว่า รัฐบาลพร้อมร่วมมือและสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนยุโรป และเห็นว่าทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะขยายความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก โดยเฉพาะในด้านความยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและดิจิทัล

 

  • เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับในวันนี้ พร้อมยืนยันว่า สหภาพยุโรปเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้และมีความน่าเชื่อถือสำหรับประเทศไทย ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนที่แข็งแกร่ง โดยสหภาพยุโรปเป็นพันธมิตรทางการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของไทย และมีการลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 43,000 ล้านยูโร ซึ่งช่วยสร้างงานได้กว่า 160,000 ตำแหน่ง ใน 19,000 บริษัทไทย นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจากสหภาพยุโรปมาไทยมากเป็นอันดับ 3 โดยเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ เห็นว่าทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันได้อีกในหลายสาขา พร้อมยินดีที่ภาคเอกชนยุโรปได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ซึ่งถือเป็นภาคเอกชนยุโรประดับโลกที่มีเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และบริการระดับโลก การหารือในวันนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีร่วมกันของทั้งสองฝ่าย

 

  • รองประธานคณะกรรมการบริหาร EU-ABC ยินดีที่ได้นำคณะผู้แทนบริษัทยุโรปในอาเซียนเข้าพบนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พร้อมทั้งขอบคุณรัฐบาลไทยที่ได้จัดการพบหารือระหว่างคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานภาครัฐกับคณะผู้แทนบริษัทยุโรปในอาเซียนในหลายโอกาส โดย EU-ABC ถือเป็นกระบอกเสียงของภาคเอกชนยุโรปในอาเซียน และมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและสร้างสรรค์กับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน โดยมีการนำคณะผู้แทนบริษัทยุโรปในอาเซียนมาเยือนไทยเป็นประจำ พร้อมเน้นย้ำว่า ประเทศไทยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคเอกชนยุโรป และได้รับความสนใจทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง นอกจากนี้ ไทยยังมีโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมที่ยอดเยี่ยม และเป็นประตูสู่อาเซียน โดยจากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจล่าสุด ภาคเอกชนยุโรปยังคงเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจในไทย โดยเฉพาะความสามารถในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน และการฟื้นตัวจากโควิด-19 พร้อมเชื่อมั่นว่า FTA จะเป็นกลไกสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

 

  • ประธาน EABC ประเทศไทย ยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการหารือวันนี้ ยืนยันว่า EABC พร้อมร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนการเสริมสร้างเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนเชื่อมั่นว่า FTA จะสามารถปลดล็อคศักยภาพของไทยในด้านการค้าและการลงทุน และทำให้ไทยกลายเป็นผู้เล่นหลักในห่วงโซ่ของโลก โดยเฉพาะในสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ขณะนี้ นอกจากนี้ ยังชื่นชมความมุ่งมั่นและความพยายามของรัฐบาลในการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ ความโปร่งใส และการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดย EABC พร้อมร่วมมือกับรัฐบาล ตลอดจนเพิ่มพูนความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพเพิ่มเติม โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล การดูแลสุขภาพ การเงิน รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการบริการ เป็นต้น

 

  • โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอวิสัยทัศน์และนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ควบคู่กับการส่งเสริมความยั่งยืน ความเจริญรุ่งเรือง และความครอบคลุม ตลอดจนสนับสนุนการทำธุรกิจและการเติบโต เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยในระยะสั้น รัฐบาลมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการค้าและการท่องเที่ยว ขณะที่ในระยะยาว รัฐบาลมุ่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและการลงทุน โดยเฉพาะการเร่งรัดการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี และการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งจะสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ การบริหารงาน การต่อต้านการทุจริต และนโยบายการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ

 

  • ด้านการค้า นายกรัฐมนตรีหวังว่า ความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) ที่ลงนามร่วมกันเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นความตกลงการค้าเสรีฉบับที่ 16 ของไทย และฉบับแรกของไทยกับยุโรป จะช่วยปูทางสู่การสรุปการเจรจา FTA ไทย-EU ให้ได้โดยเร็ว เพื่อรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขัน ความยืดหยุ่น และความมั่นคงให้แก่ห่วงโซ่อุปทาน

 

  • การอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ รัฐบาลมุ่งมั่นผลักดันไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางการลงทุนที่สำคัญ โดยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย พร้อมมาตรการดึงดูดให้บริษัทข้ามชาติใช้ไทยเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ในภูมิภาค รวมถึงจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคต โดยการพัฒนาอุตสาหกรรมดั้งเดิม ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์และซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคตในด้านสีเขียว ดิจิทัล และเศรษฐกิจเพื่อการดูแลและสุขภาพ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การวิจัยและนวัตกรรม การขนส่งและโลจิสติกส์ บริการสาธารณูปโภค เทคโนโลยีดิจิทัล และการจัดเก็บภาษี

 

  • อุตสาหกรรมหลัก รัฐบาลวางแผนส่งเสริมการลงทุนเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลกในอุตสาหกรรมชั้นนำ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงและเซมิคอนดักเตอร์, ยานยนต์ ยานยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่, พลังงานทดแทนและชีวภาพ และเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยี

 

  • การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านสีเขียว รัฐบาลให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและมีความก้าวหน้าภายใต้พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงมีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนร้อยละ 50 ภายในปี ค.ศ. 2040 การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065

 

  • ศูนย์กลางการเชื่อมโยง รัฐบาลเห็นประโยชน์จากที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ของไทย และมุ่งพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการพัฒนาการเชื่อมต่อทั้งทางรถไฟ, ทะเล, อากาศ และถนน พร้อมทั้งสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่ทั่วประเทศ และดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการก่อสร้างสนามบินใหม่ และโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อเชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย โดยรัฐบาลได้พูดคุยกับหลาย ๆ ประเทศ และได้รับความสนใจและการสนับสนุนที่ดีเป็นอย่างมาก ซึ่งหากโครงการแลนด์บริดจ์สำเร็จ จะช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนด้านการขนส่งจำนวนมาก

 

  • การท่องเที่ยวและซอฟต์พาวเวอร์ รัฐบาลขยายระยะเวลามาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา 60 วัน สำหรับ 93 ประเทศ/ดินแดน และการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) สำหรับ 31 ประเทศ/ดินแดน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นกว่า 35.5 ล้านคน ในปี 2567 รวมทั้งเร่งรัดกระบวนการขอใบอนุญาตทำงานและวีซ่า พร้อมเสนอสวัสดิการเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงให้เข้ามาพำนักหรือทำงานในไทย

 

  • นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ประเทศไทยเปิดรับต่อการดำเนินธุรกิจ ด้วยนโยบายที่ชัดเจนและสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมในการลงทุน จึงไม่มีเวลาไหนที่จะเหมาะสมที่จะลงทุนในประเทศไทยเท่าเวลานี้ พร้อมเชิญชวนคณะ EU-ABC และ EABC ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและครอบคลุม โดยรัฐบาลพร้อมทำงานร่วมกับภาคเอกชนยุโรป ซึ่งจะสร้างผลประโยชน์ร่วมกันแก่ทั้งสองฝ่าย

 

  • อนึ่ง สภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน (EU-ASEAN Business Council: EU-ABC) เป็นองค์กรหลักสำหรับกลุ่มธุรกิจจากยุโรปที่ดำเนินกิจการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับจากคณะกรรมาธิการยุโรป และสำนักเลขาธิการอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมภาคเอกชนยุโรปที่ดำเนินกิจการในอาเซียน และร่วมพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายและกฎระเบียบที่จะช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างยุโรปกับอาเซียน โดยสมาชิก EU-ABC ประกอบด้วยบริษัทยุโรปจำนวน 78 บริษัท และสภาหอการค้ายุโรป 9 แห่ง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงสมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์ประเทศไทย (European Association for Business and Commerce: EABC) ที่เป็นสภาหอการค้ายุโรปประจำประเทศไทย มีสมาชิกจำนวน 156 บริษัท

 

ข่าวในหมวดเดียวกัน

เพิ่มเติม...

การเมือง

คอลัมนิสต์

คมในความ

มหาราษฎร์ Shorts

ภาพเก่าเล่าอดีต

ไฮไลท์

ข่าวประชาสัมพันธ์

ตำรวจ ทหาร อัยการ ศาล คุก

ท่องเที่ยว

ศาสนา

สุขภาพ

แวดวงนักรบ

สังคม

บทบาทบุคคล

< กลับหมวดไฮไลท์

เรื่องล่าสุด