ผมเป็น รอง ผกก.ด่าน ตม. ดอนเมือง ตามโครงสร้างใหม่ของ สตม. เมื่อปี 2537
จับการทุจริต ได้ 8 คน ใช้ดวงตราประทับของเจ้าพนักงาน ตีประทับดวงตราลงในหนังสือเดินทางปลอมเพื่อส่งคนไปประเทศญี่ปุ่น
รถยนต์ส่วนตัวของผม ที่จอดอยู่ในลานจอดรถใต้อาคารสนามบินดอนเมืองถูกกรีดรอบคัน
ต่อมา พล.ต.ท.จารึก เมฆวิชัย ผบช.สตม. ได้ย้ายผมไปอยู่ด่าน ตม.สะเดา จว.สงขลา
กก.ด่าน ตม.สะเดา สถานที่ทำงาน อยู่ห่างจาก ด่านเข้า-ออก ระหว่างประเทศไทย กับประเทศมาเลเซีย ประมาณ สองกิโลเมตรเศษ เรียกกันทั่วไปว่า <จังโหลน> หรือ <ด่านนอก>
ผมทำงานคลุกคลีกับลูกน้องทั้งที่ กก. และที่ด่าน มีความสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานข้างเคียงคือ ด่านศุลกากร พ่อค้า แม่ค้า นักธุรกิจ ผู้ประกอบการทั่วไป รวมทั้งเจ้าหน้าที่ ตม. และ ศุลกากร ของมาเลเซีย
ที่ขาดไม่ได้ ต้องรู้จัก คือ ผู้จัดการร้านค้าปลอดภาษี (Duty Free) ที่อยู่เลยด่านขาออกจากประเทศไทยไปประมาณ ร้อยกว่าเมตร
วันหนึ่ง ขณะทำงานอยู่ที่ กก.ด่าน ตม.สะเดา ผมแต่งกายชุดสุภาพ ใส่เสื้อแขนยาว มีผ้าผูกคอ ได้รับแจ้งว่ามีเหตุคนนำพวกไปปิดด่าน ตม. ขาออกจากประเทศไทย เข้าประเทศมาเลเซีย
ผมสั่งให้เจ้าหน้าที่รายงาน ผกก.ด่าน ตม.สะเดา ทราบ แล้วรีบออกจาก กก. ไปที่ด่านทันที มี ส.ต.ท.เมฆมินทร์ อาสาไปด้วยกันกับผม
เมื่อไปถึง เห็นว่ามีกลุ่มวัยรุ่นกว่าสามสิบคน พากันยืนห้อมล้อมด่าน ตม. ขาออกอยู่ ผมเดินปรี่เข้าไปหากลุ่มวัยรุ่นนั้น ส.ต.ท.เมฆมินทร์ เดินตามหลังมา ผมพูดด้วยเสียงดังว่า
<มาทำอะไรกัน ออกไปให้หมดทุกคน ผมเป็นรองผู้กำกับ อยู่ที่ด่านนี้ ออกไป !>
สิ้นเสียงของผม กลุ่มวัยรุ่นพากันแตกฮือไป คนละทิศคนละทาง ผมเดินเข้าไปในห้องที่ทำงานของด่าน ตม.ขาออก เจอ ร.ต.อ.ไตรหาญ กับ ด.ต.บุญสม ที่เป็นลูกน้องเพียงสองคน ยืนอยู่ในห้องและมีนักธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ด่านนอก อีกสามคน ยืนอยู่ด้วย ผมรู้จักทุกคน ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด
ลูกน้องตำรวจ ทำความเคารพผม นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ ยกมือไหว้ พูดทักทายผม ผมเดินอ้อมคนเหล่านั้น ไปที่โต๊ะทำงานสารวัตร ผมยืนเหมือนทุกคน ผมสอบถามเรื่องราวจากทั้งสองฝ่าย
ร.ต.อ.ไตรหาญ บอกว่า <ผมจับคนมาเลเซีย ที่ไม่มีเอกสารเข้า-ออก ระหว่างประเทศ ได้สองคน ผู้ช่วยฯ ตี๋ มาขอให้ผมปล่อย ผมไม่ยอม ผู้ช่วยฯ ตี๋ เลยสั่งลูกน้องมาปิดด่านและก็มีคุณสามคนนี่ เข้ามาพูดอีก ขอให้ผมปล่อย>
คุณสมชาย เจ้าของธุรกิจโรงแรม ได้พูดขึ้นว่า <ขอแค่นี้ก็ไม่ได้> พอฟังจบ ผมใช้กำปั้นขวา ทุบโต๊ะเปรี้ยง แล้วพูดว่า <พวกคุณเป็นใคร ? ทำไมถึงทำอย่างนี้ ?>
คุณสมชายกับพวก ทำหน้าตาเหรอหรา ละล่ำละลัก พูดว่า <ท่านจำพวกผมไม่ได้หรือครับ ?>
ผมพูดเสียงเข้มว่า <พวกคุณไม่ใช่พรรคพวกของผม ถ้าคุณเป็นพวกผม คุณต้องไม่ทำอย่างนี้ ถ้าพวกคุณมีเรื่องร้องขอ แต่เขาไม่ให้ก็ติดต่อผม หรือไปหาผมที่ กองกำกับผมจะได้พิจารณาจัดการตามที่เห็นสมควร แต่พวกคุณกลับเอาคนมาปิดล้อมด่าน รู้มั้ยว่า ด่าน ตม. คือหน้าตาของประเทศไทย>
ทุกคนยืนนิ่ง ตั้งใจฟัง ผมจึงพูดต่อ <ไปบอกไอ้ตี๋ด้วยว่า ก่อนสี่โมงครึ่งเย็นนี้ให้ไปพบผมที่กองกำกับ ถ้าไม่ไป…ชาตินี้ไม่ต้องมาเจอกัน>
พูดจบ ผมเดินออกจากห้องทันทีไม่มีใครมาปิดล้อมด่านอีก ตำรวจ ตม. ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในตู้พากันยกมือไหว้ และยิ้มให้ผม ผมกับ ส.ต.ท.เมฆมินทร์ กลับไปที่ กก.
ทราบมาว่า ไอ้ตี๋ เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ชอบเล่นการพนัน เคยโมโหที่เล่นแล้วเจ๊ง ชักปืนพกสั้นที่ติดตัวมายิงมือตัวเองจนทะลุ ไอ้ตี๋มีพี่ชาย รู้จักสนิทสนมกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ในส่วนกลาง จึงกร่างมาก
เกือบ ๆ จะสี่โมงครึ่งเย็นวันนั้น ลูกน้องมาเคาะห้องทำงานเปิดประตูเข้ามาบอกว่า <ท่านครับ ผู้ช่วยฯตี๋ มาขอพบครับ>
ผมบอก <ให้เขาเข้ามานะ>
ประตูห้องทำงานผม เปิดออกอีกครั้งหนึ่งชายฉกรรจ์ เชื้อสายจีน ร่างกายกำยำ ท่าทางนักเลง เข้ามายกมือไหว้ผม พูดว่า <สวัสดีครับท่าน ผมตี๋ครับ>
ผมยกมือรับไหว้ มองหน้า มองตาผู้ช่วยฯตี๋ และพูดว่า <ทำไมถึงพาคนไปปิดด่าน รู้มั้ยว่า มันเสียหายต่อตำรวจ ตม. และประเทศชาติแค่ไหน ?>
ผู้ช่วยฯ ตี๋ ตอบว่า <ผมเป็นคนกว้างขวาง มีชื่อเสียงที่นี่แค่ผมขอให้ปล่อยคนมาเลเซียสองคน ก็ไม่ได้ผมเลยต้องเอาลูกน้องไปปิดด่านครับ>
ผมพูดว่า <ผมสามารถแจ้งความดำเนินคดีกับคุณได้ทันทีนะ คุณจะใหญ่แค่ไหน ! กว้างขวางแค่ไหน ! ผมไม่ใส่ใจ ! ลูกน้องผมทำงานตามหน้าที่ ผมจะต้องปกป้องดูแลลูกน้องผมและจะไม่ให้ใครมาย่ำยีศักดิ์ศรีของตำรวจได้>
ผู้ช่วยฯตี๋ พูดขึ้นว่า <ท่านจะให้ผมทำยังไงครับ ?>
ผมบอกทันที <ต้องขอขมาลูกน้องผมที่ทำงานอยู่ด่าน ตม.ขาออก ทุกคน>
ผู้ช่วยฯตี๋ รีบพูด <ทำไม่ได้ครับ ผมอายคน>
ผมพูดเสียงดัง ขึงขัง <ถ้าทำไม่ได้ หรือไม่ทำ ออกไปจากห้องผมชาตินี้อย่ามาเจอกันอีก>
ผู้ช่วยฯ ตี๋ ผลุนผลันออกไปจากห้องทำงานผม แบบไม่ร่ำลา นักเลงพอตัว
สักครู่หนึ่ง ไม่เกินห้านาที มีเสียงเคาะที่ประตูห้องทำงานผม ประตูเปิดออก ผู้ช่วยฯ ตี๋ เข้ามาสวัสดี และนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานผมอีกครั้ง พูดว่า <ผมขอขมาก็ได้ครับแต่ขอทำที่กองกำกับนี่ทำที่อื่นไม่ได้ครับผมอายคนจริง ๆ>
ผมมองสบตากับผู้ช่วยฯ ตี๋ พูดเสียงหนักแน่น <แล้วคิดว่าที่คุณทำไปนั้น ตำรวจไม่อายหรือ ? เหตุเกิดที่ด่าน ตม.ขาออกต้องไปขอขมาที่หน้าด่าน ตม.ขาออก เท่านั้นไม่มีที่อื่น>
ผู้ช่วยฯ ตี๋ กดโทรศัพท์มือถือไปหาใครก็ไม่รู้ ป้องปากพูดว่า <ท่านรองฯ ไม่ยอมครับ>
และทำท่าจะยื่นโทรศัพท์ให้ผมคุย ผมรีบพูดขึ้นว่า <เรื่องนี้เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของตำรวจ หน่วยงาน และประเทศชาติ ผมจะดำเนินการตามแนวทางของผม ผมไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร ผมขออภัย ผมไม่พูดด้วยนะครับ>
ผู้ช่วยฯ ตี๋ ปิดโทรศัพท์มองหน้าผมนิ่ง พูดช้า ๆ ว่า <ตกลงครับ ผมยอมขอขมาที่ด่านนอก>
ผมพูดต่อว่า <ลูกผู้ชาย มันต้องอย่างนี้ พรุ่งนี้สามโมงเช้า เจอกันที่ ด่าน ตม.ขาออกนะ>
เมื่อผู้ช่วยฯ ตี๋ กลับไปแล้ว ผมแจ้งให้ ตม.ขาออก ทุกนาย ตั้งแต่ สว. ลงมา ที่ขาดไม่ได้คือ ร.ต.อ.ไตรหาญ และ ด.ต.บุญสม ให้ไปพร้อมกันหน้าที่ทำการ เวลาสามโมงเช้าเพื่อรอรับการขอขมาจากผู้ช่วยฯ ตี๋
ผกก.ด่าน ตม.สะเดา มาที่ กก.ด่าน ตม.ฯ พอดี ผมจึงรายงานเหตุให้ทราบ แต่ดันมีธุระด่วนเลยรีบผลุนผลันออกไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวผู้ช่วยฯ ตี๋ จะขอขมาตำรวจที่ด่าน ตม.ขาออก กลายเป็น Talk of the town
ผู้คนจำนวนมาก ทั้ง ตม.ขาเข้า เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากร นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ พ่อค้า แม่ค้า ตำรวจท้องที่บางนายไม่เว้นแม้กระทั่ง ตม. และศุลกากร มาเลเซีย บางคน ต่างพากันยืนรอดูการขอขมาของขาใหญ่ประจำด่านนอก กันเนืองแน่น
สามโมงเช้าตรงเวลา ตำรวจด่าน ตม. ขาออก ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน อยู่ด้านหน้าที่ทำการ ผู้ช่วยฯ ตี๋ เดินเข้ามายกมือไหว้ผมก่อน จากนั้นก็พูดว่า <ผมขอโทษตำรวจ ตม. ทุกท่านด้วยครับ> แล้วเดินไปยกมือไหว้ ขอขมาอย่างสวยงาม ตั้งแต่ สว. ร.ต.อ.ไตรหาญ ด.ต.บุญสม จนครบทุกคน ทุกกลุ่มผู้คนที่พากันยืนดูเหตุการณ์ ขณะนั้น เงียบกริบ
ผู้ช่วยฯ ตี๋ เดินมายกมือไหว้ผมอีกครั้ง ก่อนกลับออกไป
พลัน เสียงผู้คนก็เริ่มพูดจากันถึงเรื่องนี้เซ็งแซ่
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่หน่วยงานหนึ่ง ที่สะเดา ได้เข้ามาพูดกับผมว่า <เห็นลูกน้องพี่ยืนดูมั้ย ? เขาชอบใจมาก ที่เห็นน้อง ทำให้ไอ้ตี๋ ไหว้ขอขมาตำรวจ ตม. ได้ เพราะไอ้ตี๋ เคยตบหน้าลูกน้องพี่ ทั้งเครื่องแบบที่ไปค้นรถมัน>
ผมยิ้ม พูดไปว่า <ถ้าทำตามหน้าที่แล้ว เรื่องเกียรติยศ เรื่องศักดิ์ศรี เรื่องประเทศชาติ เป็นเรื่องสำคัญครับ>
ต่อมา คุณสมชาย และนักธุรกิจ ทั้งสามคน ที่เคยพบกันในห้องทำงาน ด่าน ตม.ขาออก ในวันเกิดเหตุ มาขอพบผมที่ห้องทำงาน ทั้งสามคน พูดจาขอโทษขอโพยผม
ผมบอกว่า <ผมไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรนะครับ เพียงแต่พวกคุณทำข้ามขั้นตอนไปจนเกิดความเสียหายต่อส่วนรวม ต่อไปนี้ ถ้ามีปัญหาอะไรที่ด่าน ตม. บอกผมนะ ทุกเรื่องมีทางออกเสมอครับ>
คุณสมชายกับเพื่อน ลาผมกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมก็สบายใจ ที่ได้เพื่อนได้พรรคพวกกลับคืนมา
อีกไม่กี่วันต่อมา ผู้ช่วยฯ ตี๋ ถูกยิงตายแถวตลาดด่านนอก มีนายตำรวจจาก บก.ป. ไปสอบถามเหตุการณ์จากผม เพราะสงสัยว่าผมวางแผนฆ่า ผู้ช่วยฯ ตี๋
ผมอธิบายเรื่องราวเสร็จจึงบอกสรุปท้ายสั้น ๆ ว่า <ผมเป็นพนักงานสอบสวนเก่า ของ ตร. และ บช.น. ผมรักและสนใจในงานสอบสวน ถ้าผมจะทำผมจะไม่ทิ้งหลักฐานให้จับได้หรอก และเรื่องนี้ผมไม่ได้ทำ>
ผมได้โคจรมาพบกับ ส.ต.ท.เมฆมินทร์ อีกครั้ง ที่ จว.อุบลราชธานี ผมเป็น รอง ผบก.ภ.จว. อุบลราชธานี ส.ต.ท.เมฆมินทร์ เป็น ต.ม.อยู่ที่ ด่าน ตม.พิบูลมังสาหาร น่าจะเป็น จ.ส.ต.หรือ ด.ต. ไม่แน่ใจ
ผมเป็นตำรวจ จนเกษียณอายุราชการ หลักการหนึ่ง ที่ผมใช้ในการทำงาน คือ <เป็นนายต้องไม่กลัว เพราะถ้านายกลัว แล้วลูกน้องจะกล้า ได้อย่างไร ?>
พล.ต.ต.ไอยศูรย์ สิงหนาท