“รมว.นฤมล” โชว์ผลงาน ก.เกษตรฯ บนเวที Women Run the World ชี้ ไทยส่งออกสินค้าเกษตรร่วม 1.8 ล้านล้านต่อปี ราคายางเพิ่มขึ้นกว่า 40 บาทต่อโล ย้ำ ภาคการเกษตรอยู่แถวหน้าของโลกได้ เพราะโครงการดี ๆ จากพระปรีชาสามารถของในหลวง ร.9
เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 68 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Global Markets: เกษตรไทยผงาดตลาดโลก ภายในงาน “Go Thailand 2025 Women Run the World : พลังหญิงเปลี่ยนโลก” ณ TRUE ICON HALL ICONSIAM เพื่อเป็นการแบ่งปันวิสัยทัศน์และมุมมองการขับเคลื่อนประเทศ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแรงบันดาลใจและเรียนรู้จากผู้นำหญิงที่ประสบความสำเร็จ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต
ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ปัจจุบันเวทีโลกให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรของไทย องค์กรนานาชาติที่เกี่ยวกับเรื่องของอาหารและการเกษตรมาตั้งสำนักงานสาขาที่เรียกว่า สำนักงานภูมิภาคในประเทศไทยครบหมดแล้ว เนื่องจากเห็นว่าเรามีความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ของภาคการเกษตร จากข้อมูลปี 65 – 67 ไทยส่งสินค้าเกษตร เฉพาะสินค้าเกษตรร่วม 1.8 ล้านล้านบาท และก็เพิ่มขึ้นทุกปี โดยลำดับแรกของประเทศที่เราส่งสินค้าเกษตรออกไปคือประเทศจีน ถัดมาเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น มาเลยเซีย และอินโดนีเซีย โดยข้าวมีมูลค่าส่งออกเยอะที่สุด รองลงมาคือเนื้อไก่ ทุเรียน ยางพารา ที่วันนี้เราเป็นผู้ส่งออกยางอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งหลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า ปี 67 ราคายางพาราเพิ่มขึ้นร่วม 40 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องใช้ภาระงบประมาณ ไม่ต้องใช้ภาษี ถ้าดูในภาพรวมแล้ว การส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 15 จากปีก่อนหน้านั้นอยู่ลำดับที่ 16 ปีนี้ขยับขึ้นมา ซึ่งเราก็หวังว่าเราจะขยับขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งในเชิงมูลค่าและปริมาณ ไม่ใช่แค่ปริมาณอย่างเดียว “วันนี้ภาคการเกษตรของไทยไปอยู่ในลำดับต้น ๆ ของตลาดโลกได้นั้นเป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงริเริ่มไว้หลาย ๆ โครงการ เช่น นวัตกรรมทำฝนหลวงในพื้นที่แห้งแล้งภาคอีสาน จนกำเนิดเป็นกรมฝนหลวง การศึกษาวิจัยว่าจะเพาะปลูกให้ได้ผลผลิตที่ดี จึงเกิดเป็นกรมพัฒนาที่ดิน และทำให้ยูเอ็นประกาศให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันดินโลกเพื่อเฉลิมพระเกียรติให้กับพระองค์ท่าน”
ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ในส่วนของสินค้าเกษตรมูลค่าสูง กระทรวงเกษตรฯ จึงสนับสนุนให้เกษตรกรในพื้นที่ ๆ เหมาะสมปลูกกาแฟหรือโกโก้ ซึ่งตรงนี้กำลังทำงบประมาณเพื่อที่เราจะสนับสนุนให้มีรายได้ที่สูงขึ้น รวมไปถึงการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยในปีนี้เราตั้งเป้าปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ โดยการใช้วิธีการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้เราสามารถลดการใช้น้ำในการเพาะปลูกได้กว่า 50% และสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซที่จะไปสร้างภาวะเรือนกระจกได้ “วันนี้ประเทศเรามีประชากรสูงวัยจำนวนมาก รวมถึงกลุ่มเกษตรกรด้วย ตอนนี้ที่เราภูมิใจว่าเรามีความมั่นคงทางอาหาร เราส่งออกให้ชาวโลกได้ แต่ถ้าเราไม่มีเกษตรกรเข้ามาเพิ่มในภาคการเกษตร ท้ายที่สุดมันจะไม่สามารถเดินต่อไปได้อย่างยั่งยืน กระทรวงเกษตรฯ จึงพยายามที่จะสนับสนุนให้ young smart farmer เข้ามาให้มากขึ้น ขอฝากให้ทุกคนช่วยประชาสัมพันธ์ด้วย”