ต่อตระกูล ยมนาค
พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ตัวอย่างนักกฏหมายที่ดี เขาทำประโยชน์ให้ชาติ เป็นหมื่นล้าน ไม่เรียกร้องเปอร์เซ็นต์ ไม่เหมือน นักกฏหมายชื่อดังๆ ในหน้าข่าวทุกวันนี้ เรียกเงิน ทีละเป็นสิบล้าน 10% ของจำนวนเงิน 100 ล้านที่จะเรียกคืนจากสามี ให้บริการแค่ให้คำปรึกษาสั้นๆ ทางโทรศัพท์และเจอตัวกันแค่ 3 ครั้ง อ่านแล้วเศร้าใจ
ส่วน พีระพันธุ์ นักกฏหมายเพื่อประชาชนตัวจริง ต่อสู้ ค่าโง่โฮป เวลล์ ที่คณะอนุญาโตตุลาการตัดสินแล้ว สั่งให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้รัฐบาลต้องจ่ายเงินค่าเสียหาย 25,000 ล้านบาท จนชนะความ รัฐบาลไทยไม่ต้องจ่ายสักบาทเดียว
ผมได้เคยเจอนั่งคุยกับคุณพีรพันธุ์ ในงานสวดครั้งหนึ่งที่วัดธาตุทอง ช่วงนั้น คุณพีระพันธุ์ อดีต สส.ปชป. 7 สมัยว่างงาน ปชป. ไม่ได้เป็นรัฐบาล ผมรู้ได้จากการพูดคุยว่า คุณพีระพันธุ์ เป็นคนที่ลงมือค้นหาข้อมูลมาต่อสู้เรื่องทาง กฏหมายต่างๆ ด้วยตัวเองทุกๆ เรื่อง
มาถึงวันนี้ คุณพีระพันธุ์ มาเป็น รมต.พลังงาน ในรัฐบาลปัจจุบัน ตำแหน่งที่มีโอกาสหาเงินได้ ไม่ต้องเรียกก็จะมีบริษัทพลังงานต่างๆ ยินดีมามอบเงินให้เป็น 100 เป็น 1,000 ล้านสบายๆ
แต่คุณพีระพันธุ์ กลับเลือกที่จะอยู่ข้างประชาชน ประกาศจะลดค่าน้ำมัน ให้ได้อย่างถาวร เลิกอ้างอิงต้นทุนจากราคาของสิงคโปร์ แล้วร่างระเบียบ กฏหมายใหม่ให้เป็นธรรมขึ้น
ผมจึงติดตามอยู่ ว่าจะคุณพีระพันธุ์ จะทำได้แค่ไหน เมื่อได้เห็นจดหมายรายงานการทำงานครบ 1 ปี ในเว็บไซต์ของคุณพีระพันธุ์ ได้อ่านแล้วรู้สึกดีใจ ว่าประเทศไทยยังมีนักการเมืองที่มีความรู้ความสามารถและเป็นคนดีอยู่บ้าง
จึงอยากเผยแพร่ ให้ได้อ่านกัน
ดังนี้:
……สวัสดีครับ
ในโอกาสครบ 1 ปี ที่ผมได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 ผมขอถือโอกาสนี้บอกเล่าการทำงานของผมโดยสรุป เพื่อเรียนให้พี่น้องประชาชนทราบว่า ในช่วงผ่านมาผมได้ทำอะไรไปแล้ว และผมกำลังทำอะไรอยู่ แล้วผมจะต้องทำอะไรต่อไป
เพื่อให้ประเทศของเราก้าวสู่ความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืนด้านพลังงาน ตามแนวทาง รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง ที่ผมได้วางเป้าหมายไว้เป็นบันได 5 ขั้น
‘บันไดขั้นที่ 1’ ซึ่งเป็นช่วง 6 เดือนแรกที่ผมเข้ามากำกับดูแลกระทรวงพลังงาน
ก็คือ การเร่งแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพื่อไม่ให้สร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน ด้วยการตรึงราคาพลังงานเชื้อเพลิง ทั้งค่าไฟฟ้า ราคาน้ำมัน และราคาก๊าซหุงต้ม ขณะเดียวกัน ผมก็เตรียมหาช่องทางที่จะรื้อระบบพลังงาน เพื่อแก้ไขปัญหาที่หมักหมมมานานไม่ต่ำกว่า 40 ปี โดยเฉพาะปัญหาเรื่องน้ำมัน ซึ่งผมได้ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนแรก ในการศึกษาปัญหาและค้นหาวิธีการที่จะรู้ต้นทุนราคาน้ำมันที่กระทรวงพลังงานไม่เคยรู้ และทุกฝ่ายบอกว่าทำไม่ได้ เพราะไม่มีอํานาจ และการจะมีอํานาจก็ต้องแก้ไขกฎหมายหลายฉบับซึ่งต้องใช้เวลานาน ผมจึงต้องหันมาศึกษากฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด
‘บันไดขั้นที่ 2’ ของผม ก็คือ การหาช่องทางตามกฎหมายปัจจุบันเพื่อให้รู้ต้นทุนราคาน้ำมัน
ซึ่งท้ายที่สุดผมก็พบช่องทางที่แฝงอยู่ในกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอยู่ในปัจจุบัน และได้ออกเป็นประกาศกระทรวงพลังงานที่กําหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุนราคาน้ำมัน เป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปี
โดยลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา
การรู้ต้นทุนราคาน้ำมันทำให้ผมรู้ปัญหาที่จะต้องแก้ไข และนำไปดำเนินการต่อใน ‘บันไดขั้นที่ 3’ ของผม
นั่นคือ การรื้อระบบการค้าน้ำมัน ซึ่งต้องหาข้อมูลเยอะไปหมดเพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการและการยกร่างกฎหมายใหม่ให้ครบวงจรตามเป้าหมาย
“บันไดขั้นที่ 5” ตอนนี้ผมได้ยกร่างต้นฉบับกฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการค้าน้ำมันซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของ “บันไดขั้นที่ 5” เสร็จแล้วครับ
ต้นร่างมีทั้งหมด 180 มาตรา ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนตรวจสอบของคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญกฎหมายและพลังงาน โดยกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดให้การปรับราคาน้ำมันทำได้เดือนละหนึ่งครั้ง ไม่ใช่ปรับทุกวัน และให้ปรับราคาได้ตามความเป็นจริงของต้นทุนน้ำมัน
โดยจะนำระบบ Cost Plus ซึ่งหมายถึงระบบที่คิดราคาตามต้นทุนที่แท้จริง เข้าใช้แทนการอ้างอิงราคาน้ำมันต่างประเทศ และมีอีกหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชน กฎหมายฉบับนี้จะดูแลไปถึงเรื่องของการจำหน่ายก๊าซหุงต้มด้วย
อีกเรื่องที่ผมจะกำหนดไว้ในกฎหมายฉบับนี้ก็คือ จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาน้ำมันมาใช้ได้เอง เพราะนี่คือการค้าเสรีอย่างแท้จริง
ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีในการหาพลังงานของตัวเอง ถ้าหากผู้ประกอบการสามารถจัดหาน้ำมันมาใช้เองได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาจำหน่ายหน้าปั๊ม ก็ให้ทำได้เลย จะทำให้ต้นทุนน้ำมันของเกษตรกร ชาวประมง ผู้ประกอบการขนส่งลดลงได้ทันที เมื่อผู้ประกอบการสามารถหาน้ำมันมาเองได้ในราคาถูก และไม่ต้องมาเสีย VAT 2 ช่วง ต้นทุนของผู้ประกอบการในเรื่องน้ำมันก็จะลดลงและเมื่อลดภาระเรื่องราคาน้ำมันแล้ว ก็ต้องลดราคาสินค้าให้ประชาชนด้วย นอกจากนั้น ยังจะมีมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในเรื่องราคาน้ำมันด้วย นี่คือสิ่งที่ผมกำลังดำเนินการอยู่ครับ
กฎหมายที่ผมพูดถึงข้างต้น ผมร่างเองทั้งหมด ผมเริ่มทำมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 หลังจากที่ผมได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับต้นทุนราคาน้ำมัน ผมใช้เวลาเที่ยงคืนถึงตี 3 แทบทุกคืน เพื่อร่างกฎหมายฉบับนี้
สำหรับ ‘บันไดขั้นที่ 4’ ซึ่งกำลังเร่งดำเนินการในขณะนี้ ก็คือ การจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR (Strategic Petroleum Reserve) และผมจะนำระบบนี้มารักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถควบคุมราคาได้เอง ตอนนี้ผมกำลังจัดเตรียมร่างกฎหมายเกี่ยวกับการสํารองน้ำมันของประเทศ ซึ่งผมจะเอาน้ำมันสำรองนี้มาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันฯ
ผมจะเปลี่ยนกองทุนน้ำมันฯ ที่ใช้เงินและสร้างหนี้สาธารณะ ให้กลายมาเป็นทรัพย์สินของประเทศ ต่อไปกองทุนน้ำมันฯ ที่มีน้ำมันสํารองของประเทศ จะเป็นทรัพย์สินของประเทศไม่ใช่ภาระหนี้สินอีกต่อไป
ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มต้นทำเรื่องนี้แล้ว และเป็นที่น่ายินดีที่ผมนำเรื่องนี้หารือกับทางซาอุดิอาระเบียในช่วงที่เดินทางไปประชุม ทางซาอุฯ เขาเห็นด้วยในหลักการที่จะสนับสนุน พร้อม ๆ กับเรื่องการลงทุนด้านการผลิตไฮโตรเจนที่จะเป็นพลังงานแห่งอนาคตอีกอย่างหนึ่ง
และผมกำลังจะเดินหน้าต่อสู่ ‘บันไดขั้นที่ 5’ นั่นคือ การออกกฎหมายสร้างระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ และกฎหมายกำกับกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งเพิ่มกฎหมายอีกหนึ่งฉบับคือกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชนอย่างยั่งยืน
ณ วันนี้ แนวทาง รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง ระบบพลังงาน ตามเป้าหมายบันได 5 ขั้นของผม ได้ดำเนินการผ่านมาแล้ว 3 ขั้น และผมกำลังเร่งดำเนินการในขั้นที่ 4 ไปพร้อม ๆ กับเตรียมการในขั้นที่ 5 เพื่อให้ประเทศของเรามีความมั่นคงด้านพลังงาน และเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ใช้พลังงานเชื้อเพลิงในราคาที่เป็นธรรม
ไม่ต้องแบกภาระความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก ในขณะที่ผู้ประกอบธุรกิจน้ำมันก็จะได้รับการกำกับดูแลอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
ในส่วนของราคาค่าไฟฟ้า ผมยังคงรักษานโยบายที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยในช่วงแรกที่ผมเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีพลังงาน เราได้ปรับราคาค่าไฟฟ้าให้ลงมาอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ก่อนที่จะขยับขึ้นมาเล็กน้อยเป็น 4.18 บาทต่อหน่วย สำหรับประชาชนทั่วไป เนื่องจากราคาก๊าซในตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่ประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 300 หน่วยต่อเดือน ก็ยังใช้ไฟฟ้าที่ราคา 3.99 บาทต่อหน่วยเหมือนเดิม สิ่งที่ผมพยายามทำตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็คือ การตรึงราคาค่าไฟฟ้าไว้ให้ถึงที่สุด ถ้าลดไม่ได้ ก็ต้องไม่ขึ้นครับ!
ผมได้ดำเนินการบริหารจัดการในหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้เราสามารถตรึงราคาค่าไฟไว้ได้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการปรับโยกการกำหนดราคาก๊าซจากอ่าวไทยให้ถูกต้องเหมาะสม เพราะที่ผ่านมา ได้มีการนำก๊าซที่ขุดได้จากอ่าวไทยจํานวนหนึ่งไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่ซื้อขายในราคาเดียวกับก๊าซหุงต้มของพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นการกําหนดราคาแบบไม่ถูกต้อง และไม่มีใครคิดจะลงมือแก้ไขทั้ง ๆ ที่ทราบปัญหา ผมจึงดำเนินการแก้ปัญหานี้ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2566 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 2567 ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราสามารถตรึงค่าไฟไว้ได้ที่ 4.18 บาทและไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชน
แต่ทําอย่างไรที่จะให้พี่น้องประชาชนสามารถใช้ไฟในราคาที่ถูกลง ผมมองเห็นว่าทางออกที่ยั่งยืนในเรื่องนี้ก็คือ การใช้พลังงานสะอาดมาทดแทน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้จากการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา ที่เรียกว่า Solar Rooftop แต่สิ่งที่เป็นปัญหาและทําให้เกิดปัญหามาตลอดคือ ความยุ่งยากในเรื่องของการติดตั้งและการขออนุญาต ผมกําลังจะออกกฎหมายฉบับใหม่เพื่อที่จะกํากับดูแลให้การติดตั้งระบบ Solar บนหลังคาบ้าน สามารถทำได้สะดวกและง่ายขึ้น โดยคาดว่าจะเสร็จพร้อม ๆ กับกฎหมายน้ำมันภายในปลายปีนี้ครับ
จะทำให้ประชาชนหลุดพ้นจากภาระค่าไฟหลักที่ต้องปรับทุก 4 เดือน และจะมีมาตรการสนับสนุนเงินทุนในการติดตั้งระบบ Solar Rooftop รวมทั้งการหักค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีในกฎหมายนี้ด้วย ซึ่งผมหวังว่าจะได้รับการสนันสนุนจากทุกฝ่าย
นอกจากนี้ ผมยังมอบนโยบายให้กระทรวงพลังงานสนับสนุนการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีและอุปกรณ์สำหรับการติดตั้งระบบ Solar Rooftop รวมทั้งแบตเตอรี่สำหรับกักเก็บพลังงานไว้ใช้ในเวลากลางคืนในราคาถูก ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการทดลอง และเบื้องต้นก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
โดยระบบนี้สามารถใช้กับเครื่องแอร์ได้ 3 เครื่อง ตู้เย็น 1 เครื่อง ประกอบด้วยแผงโซลาร์ราคาไม่เกิน 10,000 บาท เครื่อง inverter ราคาไม่น่าเกิน 8,000 บาท และแบตเตอร์รี่ไม่น่าเกิน 12,000 บาท
ทั้งหมดนี้น่าจะอยู่ในวงเงินประมาณ 30,000 บาท ชึ่งจะเป็นราคาต้นทุนการผลิตไม่รวมค่าบริหารจัดการ ซึ่งจะสามารถใช้ไฟได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งผมมั่นใจว่าในรอบปีที่ 2 ที่ผมดูแลกระทรวงพลังงาน กระทรวงของเราจะมีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกมาจำหน่ายให้แก่พี่น้องประชาชนในราคาถูก ซึ่งจะลดภาระและปลดพี่น้องประชาชนให้หลุดพ้นจากปัญหาค่าไฟแพงได้
ผมอยากเรียนว่าในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา ผมพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อพี่น้องประชาชน โดยหวังว่าจะสามารถ รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง ส่วนที่เหลือทั้งหมดให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 1 ปีนับจากนี้
ขอให้มั่นใจว่าผมจะพยายามปรับปรุงและแก้ไขปัญหาต่างๆ ของพี่น้องประชาชนในเรื่องของพลังงานให้ดีที่สุด และขอเรียนอีกครั้งว่า ผมไม่เคยกลัวอิทธิพลอะไรและไม่อยู่ใต้อิทธิพลอะไรทั้งนั้น มิฉะนั้น ผมคงไม่สามาถดำเนินการในเรื่องต่างๆ ตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมาได้
ผมทํางานในทางการเมืองมา 30 ปี ไม่เคยกลัวอะไร และไม่เคยมีผลประโยชน์ส่วนตัว ผมทําทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติบ้านเมืองเท่านั้น อะไรทําได้ผมก็ทํา อะไรทําไม่ได้ผมก็จะพยายามทำให้ได้ และจะทำให้ถึงที่สุดครับ!
สุดท้าย ต้องขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนการทำงานของผม เชียร์ผม
ผมเองก็รู้สึกแปลกใจที่มีแรงเชียร์มากมาย แต่ก็ดีใจ
ในอดีตที่ผมทํางานการเมืองมา ไม่เคยมีคนมาเชียร์ หรือมาช่วยอะไรมาก ผมทำในสิ่งที่ต้องทํา ไม่ใช่ทําเพราะคนเชียร์ หรือไม่ทําเพราะคนด่า
ผมทําทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนมาตลอด
ขอขอบคุณอีกครั้งและขอให้พี่น้องประชาชนช่วยเป็นผนังกําแพงให้ผมพิง เพื่อทำงานสำคัญนี้ให้สำเร็จด้วยครับ
ขอบพระคุณทุกท่านครับ
. พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค