เค้าพายุใหญ่การเมืองไทย
โดย สิริอัญญา
วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2567
ท่านนายกอุ๊งอิ๊งได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 แต่โหรบางจำพวกทักทายว่าเวลาตั้งการพิธีรับพระบรมราชโองการนั้นเมื่อดูตามยามอุบากองแล้วไม่ค่อยปลอดโปร่งเท่าใดนักเพราะตกเวลาสาย เป็นยามกากบาท ซึ่งมีคำทำนายว่ากากบาทตัวอัปรีย์ แม้นจรลีจะอปรา ซึ่งมีความหมายในลักษณะเป็นฤกษ์เดินทาง ว่าถ้าดูฤกษ์เพื่อการเดินทางแล้วก็จะไม่ประสบความสำเร็จในกิจการนั้น ๆ
แต่ทว่าถ้าดูตามยามอัฏฐกาลประกอบเข้ากับปูมทักษาแล้ว วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ เวลา 09.29 น. ตกปูมพระอังคาร ซึ่งเป็นเดชของพระอาทิตย์ อันหมายถึงรัฐบาลนี้จะควบคุมอำนาจอย่างเข้มงวดชนิดพรรคร่วมไม่ต้องหือ กระทั่งอาจถูกกล่าวหาได้ว่าเป็นเผด็จการรัฐสภาเหมือนกับเมื่อครั้งพรรคไทยรักไทยอีกก็ได้
วันที่ได้รับพระบรมราชโองการเป็นวันอาทิตย์ หมายเลข 1 ยามอังคาร หมายเลข 3 อันพระอาทิตย์นั้นหมายถึงความเจริญรุ่งเรือง เกียรติยศ อำนาจวาสนา ส่วนพระอังคารนั้นก็หมายถึงกำลังทหาร ระเบียบ ระบบทั้งหลาย ซึ่งหมายความว่าชะตากรรมของรัฐบาลนายกอุ๊งอิ๊งนั้นเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับเลข 1 และเลข 3 เพราะตัวนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งเองก็ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ซึ่งประกอบด้วยเลข 3 และเลข 1 ด้วยคะแนนเสียง 319 เสียง ซึ่งประกอบด้วยเลข 3 เลข 1 และเลข 9 ดังนั้นความหมายของรหัสนัยทางเลขศาสตร์ของตัวเลขสามตัวดังกล่าวจึงสะท้อนและแสดงออกถึงชะตากรรมของรัฐบาลนายกอุ๊งอิ๊งด้วย
การที่มีเลข 9 มีความหมายอยู่สองนัย คือความยั่งยืน ซึ่งด้านหนึ่งอาจจะบอกความหมายว่ารัฐบาลนี้จะมีอายุครบเทอมของสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ อีกความหมายหนึ่ง พระเกตุคืออากาศธาตุ ความว่างเปล่า ความสูญเสีย อันหมายถึงความเปลี่ยนแปลงใหญ่ชนิดที่เรียกว่าฉิบหายวายวอดชนิดไม่เหลือซากกระดูกก็ได้
ดังนั้นด้านหนึ่งนอกจากจะต้องมีความมั่นใจในความเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว อีกด้านหนึ่งก็พึงระวังตนให้จงหนัก อย่าประมาทในสิ่งห้าดังที่โบราณเตือนไว้ว่า
“จะไว้ใจอะไรไว้ใจเถิด แต่อย่าเกิดไว้ใจในสิ่งห้า
หนึ่ง อย่าไว้ใจทะเลทุกเวลา สอง สัตว์เล็บเขี้ยวงาอย่าวางใจ
สาม ผู้ถืออาวุธสุดจักร้าย สี่ ผู้หญิงทั้งหลายจะกรายใกล้
ห้า พระมหากษัตริย์ทรงฉัตรชัย ถ้าแม้นใครประมาทอาจตายเอย”
โลกนิติแต่โบราณดังกล่าวนั้นจะว่าโบราณไร้ความหมายก็ได้ แต่ถ้าจะคิดว่าหากไม่แน่จริงแล้ว ไหนเลยจะตั้งเป็นภาษิตสอนใจคนมานับร้อยนับพันปี และยังสอดคล้องกับพระพุทธวจนขององค์พระบรมครูอีกด้วย ที่ทรงเตือนไว้ว่ามีเรื่องสี่จำพวกที่ประมาทไม่ได้ คือ
หนึ่ง อย่าประมาทไฟกองเล็ก เพราะไฟกองเล็กนั้นแม้ต้องลมแรงและมีเชื้อไฟดีแล้ว ก็อาจจะเป็นไฟใหญ่ไหม้ลามทุ่งมาเผาผลาญบ้านเมืองได้
สอง อย่าประมาทสามเณรองค์น้อย เพราะท่านอาจเป็นพระอรหันต์ที่สิ้นแล้วซึ่งกิเลสอาสวะทั้งหลาย และเป็นพระอริยเจ้าด้วย
สาม อย่าประมาทงูตัวเล็ก เพราะอาจมีพิษร้ายแรงทำให้ถึงตายได้
สี่ อย่าประมาทพระมหากษัตริย์แม้พระชนมายุยังน้อย เพราะทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่ประหารชีวิตผู้คนได้
การจะเป็นประการใดก็ตั้งใจจับตาดูกันไปก็แล้วกัน แต่ถ้าสังเกตอาการที่เป็นไปในบ้านเมืองหลังจากได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็มีกระแสอันรุนแรงดุจดังเมฆฝนที่ครึ้มอยู่บนอากาศ ที่พร้อมจะถล่มลงมาทำลายไร่นาสาโทและบ้านเมืองได้ เค้าลางที่ว่านี้ปรากฏชัดเจนในวงโซเชียลมีเดียของประเทศไทยของเรา
เฉพาะที่ชัดเจนว่าจะมีการดำเนินการสามเรื่องเพื่อสอยท่านนายกอุ๊งอิ๊งให้ตกเก้าอี้ คือ
เรื่องที่หนึ่ง จะมีการขุดคุ้ยเอาเรื่องการสอบของท่านนายกอุ๊งอิ๊งเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาว่ามีการลอกข้อสอบ ซึ่งมีการไปเก็บค้นรวบรวมผลการสอบสวนในครั้งนั้นจนมีความพร้อมที่จะดำเนินการแล้ว
เรื่องที่สอง คือการจัดประชุมพรรคร่วมรัฐบาลที่บ้านจันทร์ส่องหล้าในยามผีตากผ้าอ้อมของวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ท่านนายกเศรษฐาตกเก้าอี้ ว่าเป็นการยินยอมให้นักโทษคดีอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกพรรคครอบงำพรรคการเมืองทั้งหลายเหล่านั้น อันเป็นกรณีที่สามารถยุบพรรคการเมืองเหล่านั้นได้ มีการเตรียมพยานหลักฐานทั้งภาพถ่ายและเสียงที่มีการไปชุมนุมและพูดจากันครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว พร้อมที่จะยื่นต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ดำเนินการยุบพรรคการเมืองทั้งหมดแล้ว
เรื่องที่สาม คือการปลุกผียายเนื่อมมาทำให้นายกอุ๊งอิ๊งตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้ได้ โดยในทางการเมืองตั้งข้อกล่าวหาว่าฮุบที่ธรณีสงฆ์หรือโกงที่วัด ในทางกฎหมายก็จะกล่าวหาว่าขาดจริยธรรม เพื่อการถอดถอนนายกอุ๊งอิ๊ง
นอกจากทั้งสามเรื่องนี้แล้ว ข่าวคราวที่จะอยู่ในเค้าเมฆอันดำทะมึนอยู่นั้นก็ยังมีมากมายหลายกรณี ซึ่งต้องค่อย ๆ รวบรวมเรียบเรียงมาทำความเข้าใจกันต่อไป เอากันแค่สามเรื่องดังกล่าวนี้ก็พอจะกล่าวได้ว่าทำให้รัฐบาลของท่านนายกอุ๊งอิ๊งไม่ปลอดโปร่งโล่งใจเท่าใดนัก ทุกเวลาหายใจเข้าออกย่อมต้องหวั่นไหวว่าจะนั่งอยู่ในเก้าอี้ได้สักกี่วัน
ข้อสำคัญคือข้อกล่าวหาทั้งหมดนั้นไม่ใช่ข้อกล่าวหาเชิงกฎหมายอย่างเดียว แต่เป็นข้อกล่าวหาในทางโลกนิติ คือเรื่องของธรรม ว่าขาดไร้ซึ่งจริยธรรม ขาดไร้ซึ่งความสำนึกในการเคารพนับถือขื่อแปขื่อกฎหมายของบ้านเมือง และล่วงละเมิดธรรมนิติ คือไม่ตั้งตนอยู่ในธรรม โกงกระทั่งที่วัดที่ธรณีสงฆ์
ซึ่งเข้าลักษณะที่เป็นจุดอ่อนของสังคมไทย ที่ใคร ๆ ก็ตามถ้าหากถูกข้อกล่าวหาว่าฮุบที่ป่า ฮุบที่ สปก. หรือฮุบที่วัดแล้ว ไม่ทันที่ข้อเท็จจริงจะชัดเจนประการใด ผู้ถูกกล่าวหาก็จะถูกรุมกันด่าจนเสียผู้เสียคนตาม ๆ กัน
และข้อสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือข้อกล่าวหาว่าสามประเภทนี้ก็เหมือนมีพรจากพระอิศวรแบบเดียวที่เคยประทานให้ไว้แก่พาลีว่าใครมาต่อสู้ด้วย ต่อให้มีกำลังฤทธิ์เท่าใดก็ให้บั่นทอนเสื่อมหายไปครึ่งหนึ่ง ดังนั้นใครก็ตามที่ถูกข้อกล่าวหาฮุบที่ป่า ฮุบที่ สปก. หรือฮุบที่วัด ก็ไม่มีกำลังวังชาหรือปัญญาที่จะแก้ไขตอบโต้ และกระแสสังคมก็จะรุมถล่มจนเสียผู้เสียคน ชนิดตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ดังนั้นในวันนี้รัฐบาลท่านนายกอุ๊งอิ๊งกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสามข้อกล่าวหาที่ประกอบขึ้นจากโลกนิติ ธรรมนิติ และราชนิติครบถ้วนทั้งสามกระบวนการ ย่อมยากที่จะระดมกำลังไปรับมือหรือย่อมยากที่จะหาผู้มีสติปัญญาไปแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ แต่ก็ต้องขออวยพรให้มีความมุ่งมั่นตั้งใจตั้งความเพียรทำหน้าที่ไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ
คลื่นใหญ่ลมแรงไม่เพียงแต่มีสามเรื่องเท่านั้น แต่จะมีอะไรอยู่ในเค้าเมฆฝนอันดำทะมึนอยู่ในอากาศอีกเท่าใดใครเล่าจักล่วงรู้ นอกจากผู้มีปัญญาที่มีสายตาเห็นในสิ่งที่คนไม่เห็นนั่นแล.
Cr. เพจ Paisal Puechmongkol