<ภาค 1>
<เรื่องเล่าของตำรวจ>
<โศกนาฏกรรมที่ 1>
เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2566 ตำรวจยี่สิบกว่านายไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ที่บ้านกำนันนก นครปฐม กำนันนกไม่พอใจ สารวัตรแบงค์จึงเดินไปหาไอ้หน่องที่เป็นลูกน้อง ไอ้หน่องเดินไปหาสารวัตรแบงค์แล้วใช้อาวุธปืนพกสั้นออโตเมติกรัวยิงสารวัตรแบงค์ 7 นัด จนสารวัตรแบงค์ถึงแก่ความตาย ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของเพื่อน ๆ ตำรวจและผู้ร่วมงาน
ไอ้หน่องหลบหนี วันที่ 8 ก.ย. 2566 เวลาประมาณตีห้า ไอ้หน่องถูกวิสามัญฯ กำนันนกหลบหนี เช้าวันต่อมาเข้ามอบตัว รอง ผบ.ตร.โจ๊ก เข้าไปควบคุมการสอบสวน หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผู้กำกับเบิ้ม หนึ่งในตำรวจที่ไปร่วมงานเลี้ยงนั้นยิงตัวตาย ต่อมา ตร.ได้สั่งให้โอนสำนวนการสอบสวนคดีนี้ไปให้ บช.ก. เป็นผู้ทำ
<โศกนาฏกรรมที่ 2>
เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2566 เวลาประมาณ 08.00 น. กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง พร้อมชุดกำลังได้พากันไปตรวจค้นบ้านพัก รองผบ.ตร.โจ๊ก ที่หลังสโมสรตำรวจเพื่อจับกุมบุคคลตามหมายจับในคดีเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ เป็นข่าวสะเทือนเลื่อนลั่นไปในทุกวงการโดยเฉพาะวงการตำรวจเพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ตำรวจ
รองฯ โจ๊ก สู้หัวชนฝา เปิดฉากให้สัมภาษณ์โจมตีบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพร้อมขู่ด้วยข้อมูลลับเปิดเมื่อไหร่ตายทั้ง สตช.
ทนายความปากกล้าออกมาพูดข่มตำรวจผู้มีชื่อในการตรวจค้นและพูดเรื่องการตรวจค้นว่า ระวัง นรกมีจริง และเปลี่ยนฉายาโจ๊กว่า “โจ๊ก อัคนี”
งานนี้ <โจ๊กเลือดไหล> งานต่อไป ใครจะ <เลือดไหลโจ๊ก>
<โศกนาฏกรรมที่ 3>
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2566 มีการประชุมเพื่อแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ แทนคนเก่าที่เกษียณอายุราชการ ผู้มีสิทธิ์ มี 4 คน เรียงตามลำดับอาวุโส
1. รองฯ รอย
2. รองฯ โจ๊ก
3. รองฯ ต่าย
4. รองฯ ต่อ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประธาน ก.ตร. เป็นประธานการประชุม นายเศรษฐา ได้เสนอชื่อ รองฯ ต่อ ผลการประชุม มติออกมา 9-2 เสียง เห็นชอบ 9 เสียง ไม่เห็นชอบ 1 เสียง <พล.ต.อ.เอก> งดออกเสียง 1 เสียง <นายประทิด>
วงการตำรวจ มักจะมีเรื่องประหลาดพิสดารเกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ อย่างไรก็ตาม สงครามได้จบลงแล้ว ขอแสดงความยินดีกับว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ ขอฝากเรื่องนี้ไว้กับท่าน
<ท่านยิ่งใหญ่ ดีใจ กับท่านด้วย
บุญอำนวย อำนาจ วาสนา
จงแสดง ฤทธิ์เดช และศักดา
เรียกศักดิ์ศรี ศรัทธา กลับมาคืน>
ด้วยวิธีการทำเช่นนี้
<จงรักษา ชื่อเสียง เกียรติยศ
จงสร้างชื่อ ให้ปรากฏ เกียรติศักดิ์
จงปกป้อง ประชาชน คนที่รัก
จงพิทักษ์ สันติราษฎร์ จนขาดใจ>
แต่ถ้าจะให้ได้ผลโดนใจ ต้องทำเช่นนี้
<ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แม้จะสะดุดตีนใคร แต่ก็สะดุดใจประชาชน>
<ตำรวจทั้งประเทศ> กำลังเฝ้ามองดูการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งระบบคุณธรรมในการแต่งตั้ง โยกย้าย ทั้งการสนับสนุนส่งเสริม ผู้มีความรู้ความสามารถ ผู้มีคุณวุฒิพิเศษเพิ่มเติมทั้งสวัสดิการ ขวัญกำลังใจ ในทุกระดับชั้น ตั้งแต่ชั้นประทวนขึ้นไป
<ประชาชนทั้งประเทศ> กำลังเฝ้ารอสุภาพบุรุษสีกากีผู้มีจิตอาสาบริการและตำรวจเหล็กผู้เช็คบิลเหล่าอธรรม
ท้้งหมดท้้งมวลนี้ฝากความหวังไว้ที่ ผบ.ตร.คนที่ 14 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ขอให้ทำได้และโชคดีครับ
ป.ล.
เขียนไว้เมื่อวันนั้น วันนี้ ผิดหวังมาก
<ภาค 2>
<ศักดิ์ศรีตำรวจไทย>
<สลักไว้ในแผ่นดิน>
ณ ปัจจุบัน ผบ.ตร.ต่อ มีเหตุพิเศษ ไปช่วยงานที่อื่น รองฯ โจ๊ก มีเหตุพิสดาร ไปช่วยงานเหมือน ผบ.ตร.ต่อ, รองฯ รอย ย้ายไปหน่วยงานอื่น รองฯ ต่าย ได้ รรท.ผบ.ตร.
รรท.ผบ.ตร.ต่าย ได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะกอบกู้ศักดิ์ศรีของตำรวจกลับคืนมา
ทำไม รรท.ผบ.ตร.ต่าย จะต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีตำรวจ ? คำตอบ ก็แบบที่ทุกคนรับรู้กันอยู่ เป็นเรื่องความประพฤติและพฤติกรรมของตำรวจทั้งใหญ่สุด ใหญ่รองลงมา ถึงตัวเล็กตัวน้อยที่ออกนอกร่องนอกรอย
รู้สึกยินดีและมีความหวังขึ้นมาบ้างขอเป็นกำลังใจให้ครับ
พอพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีทำให้คิดถึงเหตุการณ์เมื่อปลายปี 2556 ถึงต้นปี 2557 ตำรวจในเขต กทม. แทบทุกหน่วยถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรี จากกลุ่มมวลชนที่ชุมนุม เช่นถูกทำร้ายร่างกายทั้งเครื่องแบบ ถูกแย่งอาวุธปืน ถูกด่าประนามหยามหมิ่น ที่เจ็บช้ำที่สุด คือ การทำลายป้ายของ สตช. ตำรวจหลายหน่วย พากันกระทำการกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาโดยจัดชุมนุมและมีพิธีการต่าง ๆ
ที่ ภ.3 พล.ต.ท.เชิด ชูเวช อดีต ผบช.ภ.3 โทรศัพท์ถึงผม <ศูรย์โว้ย ! พี่ทนไม่ไหวแล้วกำลังคุยกับเบิ้ม <พล.ต.ท. ธีระศักดิ์ กลิ่นพงษา> จะรวมพลังตำรวจที่หน้าลานย่าโมเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีตำรวจไปช่วยพี่พูดหน่อยสร้างบรรยากาศให้คึกคักและตั้งชื่องานให้ด้วยด่วนเลยนะ>
เลือดตำรวจผมพล่านระอุ ตอบเสียงดังฟังชัดตามสไตล์ <ครับผม ขอตั้งชื่อเลยนะครับ <ศักดิ์ศรีตำรวจไทย สลักไว้ในแผ่นดิน> เอาชื่อนี้ก่อนนะครับแล้วจะส่งชื่อเพิ่มครับ>
เสียง พล.ต.ท.เชิด พูดว่า <พี่ชอบ เอาชื่อนี้เลย>
วันชุมนุมแสดงพลังของตำรวจ ภ.3 ที่บริเวณลานติดอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีหรือย่าโม มีป้ายขนาดใหญ่ สีตำรวจข้อความว่า <ศักดิ์ศรีตำรวจไทย ลักไว้ในแผ่นดิน> ด้านบน เป็นตราแผ่นดิน ด้านขวา เป็นอนุสาวรีย์ตำรวจ
พล.ต.ท.เชิด พี่ใหญ่นำทีม พล.ต.ท.ธีระศักดิ์ ผบช.ภ.3 พร้อมด้วย รอง ผบช.ภ.3 ผบก.ภ.จว.และกำลังพลในหน่วยพากันไปชุมนุมแสดงพลังเต็มบริเวณพื้นที่โดยมีผู้สื่อข่าวหนุ่มใหญ่เป็นพิธีกร คู่กับ พ.ต.อ.วณัฐ อรรถกวิน
พล.ต.ท.เชิด พูดเป็นคนแรกเรียกน้ำย่อย
พล.ต.ท.ธีระศักดิ์ พูดคนต่อมา ประเคนแม่ไม้มวยไทยด้วยวาจากร้าวกล้าทุกคนพากันฮึกเหิม
รอง ผบช.ภ.3 ผบก.ภ.จว. ช่วยกันพูดเรียกความมั่นอกมั่นใจของตำรวจ
ถึงคิวผมพูด ก็พูดตามแบบฉบับของผมเหมือนกับที่แยกพล.๑ สร้างขวัญกำลังใจกำลังพล ตอบโต้จู่โจมฝ่ายตรงข้ามและอธิบายมวลชนได้แบบถึงพริกถึงขิง เสียงกำลังพลโห่ร้องดังกึกก้อง เป็นระยะ ๆ ทุกคนมีความห้าวหาญพร้อมลุยเพื่อเรียกศักดิ์ศรีคืนมา
ตลอดเวลาของการชุมนุมและการพูด มีสื่อมวลชนทุกสาขา มาทำข่าวกันมากมายรวมทั้งการถ่ายทอดสด การชุมนุมในวันนั้นผ่านไปด้วยความเรียบร้อย ผมมั่นใจว่า ตำรวจทุกนายต่างก็รู้สึกว่า ตนเองมีศักดิ์ศรี มีเกียรติยศที่จะต้องปกป้องและรักษาเอาไว้ รวมทั้งมีความสะใจที่ได้กระแทกกลับไปบ้างไม่ใช่ตั้งรับอย่างเดียว
พล.ต.ต.สุรพล แก้วขาว รอง ผบช.ภ.3 ได้เขียนข้อความสั้น ๆ เผยแพร่ว่า <พี่เบิ้มกับพี่…สุดยอด> ขอบคุณครับ
ขอฝาก พี่ เพื่อน น้อง ๆ ทั้งอดีตตำรวจและตำรวจปัจจุบันช่วยกันรักษาองค์กร <ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์> เอาไว้เพื่อให้เป็นที่พึ่งของสุจริตชนอย่างแท้จริง
<ศักดิ์ศรีของตำรวจ อย่าให้ใครมาเหยียบย่ำ ถ้าปกป้องตัวเองไม่ได้ จะไปดูแลชาวบ้านได้อย่างไร ?>
<ศักดิ์ศรีตำรวจไทย สลักไว้ในแผ่นดิน>
พล.ต.ต.ไอยศูรย์ สิงหนาท