เหตุเกิดเมื่อ 2 วันก่อนนี้ แต่ว่า 14 ปีมาแล้ว
<เจรจา>
ผู้บังคับบัญชาใน บช.น. พูดกับนักเจรจาต่างจังหวัด <….ได้ข่าวว่าพูดเป็น….>
มีคนบอกว่า นักเจรจาต่างจังหวัด เดินไป พูด และเดินกลับ ใช้เวลาประมาณ สองนาทีครึ่ง
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับม็อบ ?
<ม็อบซ้อนม็อบ>
ช่วงเดือนมีนาคม 2553 มีพลังมวลชนเสื้อสีจากต่างจังหวัด เดินทางไปสมทบกับมวลชนเสื้อสีใน กทม.
วันที่ 25 มี.ค. 2553 เวลา ประมาณ 20.00 น. ผมนำกำลังตำรวจ คฝ.ภ. จว.อุบลราชธานี 1 กองร้อย เดินทางไปรายงานตัวกับ บช.น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ไปถึงวันที่ 26 มี.ค. 2553 เวลาประมาณ 06.00 น.
ภายในอาคาร มีกองกำลังทหารเข้าอยู่เต็มพื้นที่ ตำรวจไปอยู่ในเต็นท์กลางสนามหญ้า และลานที่ว่าง
ผมกึ่งนั่งกึ่งเอนหลังพิงเสาเต็นท์ ปวดเมื่อยกระดูกกระเดี้ยวไปทั่วร่าง พยายามข่มตาหลับเพราะเดินทางมาตลอดคืน
ต่อมาในเวลาประมาณ 10.00 น. เศษ พ.ต.อ.สมหมาย ประสิทธิ์ รอง ผบก.ภ.จว. ลพบุรี มาบอกผมว่า <เฮีย พี่ย้อย เรียกครับ>
พี่ย้อยคือ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.
<พาพี่ไปเลยนะ> ผมพูดพลางบิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นเดินตามหลัง พ.ต.อ.สมหมาย ไป
เมื่อพบ พล.ต.ท.วรพงษ์ ผมทำความเคารพ รายงานตัวตามระเบียบ และทักทายกับ มือปราบหูดำ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ นักเจรจาของ บช.น. น้องรักที่คุ้นเคยกันตั้งแต่อยู่ สน.พญาไท
พล.ต.ท.วรพงษ์ พูดว่า <ไอยศูรย์ ได้ข่าวว่าพูดเป็น ช่วยพูดกับม็อบโรงงานยาสูบที่ชุมนุมอยู่บนสะพานชมัยมรุเชษฐ์ให้หน่อย ส่งคนไปพูดคุยหลายคนแล้วไล่ก็ไม่ออกบอกก็ไม่ไป>
ผมมองไปที่สะพานชมัยมรุเชษฐ์เห็นมีการชุมนุม ทั้งคนทั้งรถอยู่เต็มสะพาน มีคนใช้เครื่องขยายเสียงพูดอยู่บนหลังคารถกำลังเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาตอบคำถามตามข้อเรียกร้อง
ผมขออนุญาต พล.ต.ท. วรพงษ์ ยืนฟังคำเรียกร้อง สังเกตเหตุการณ์ตรงหน้าเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ สักครู่หนึ่งผมก็บอกว่า <ผมจะออกไปคนเดียวนะครับ>
แล้วผมก็เปิดที่กั้นแผงเหล็ก เดินออกไปคนเดียว ผมสวมเครื่องแบบสีกากี สวมหมวกจ๊อกกี้สีดำ มีตราแผ่นดินหน้าหมวกเพราะช่วงนั้นยังไม่มีเครื่องแบบ คฝ. สีน้ำเงิน
กลุ่มมวลชนบนสะพานชมัยมรุเชษฐ์หลายคนมองมาที่ผม เมื่อไปถึง ผมเริ่มกล่าวทักทายว่า <สวัสดีครับ ผมเป็นรองผู้การฯอุบลราชธานี นำกำลังตำรวจมาดูแลทำเนียบรัฐบาลเห็นพวกท่านมาชุมนุมเรียกร้องอะไรสักอย่างแต่ฟังไม่ถนัดเลยขออนุญาตผู้บังคับบัญชามาสอบถามครับ>
ชายกลางคนคนหนึ่ง มีลักษณะเป็นผู้นำ พูดขึ้นว่า <มาหลายคนแล้ว แต่ถ้าอยากรู้ก็จะบอก>
ผมพูดขอบคุณ และถอดหมวกออก ให้เห็นหน้าตาชัดเจนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
ชายลักษณะแกนนำ พูดอธิบายด้วยท่าทีจริงจัง <พวกเราสหภาพแรงงานโรงงานยาสูบยื่นข้อเสนอเรียกร้องไปยังนายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี หลายข้อ วันนี้เป็นวันครบกำหนดตอบข้อเรียกร้อง ยังไม่ออกมาพบ พวกเราจึงได้ช่วยกันติดต่อสหภาพแรงงานกลุ่มต่าง ๆ ให้มาสมทบเพื่อจะบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล>
ผมฟังไป มองหน้าคนพูดและผู้ชุมนุมไป แสดงท่าทีเห็นใจ ผมพูดว่า <ผมขอชื่นชมครับ ที่มีคนอย่างพวกท่านเป็นตัวแทนผู้ใช้แรงงาน ข้อเรียกร้องก็คงเพื่อให้มีสวัสดิการที่ดีขึ้น ถ้ามีคนอย่างพวกท่าน ที่กล้าต่อสู้ต่อรองกับผู้มีอำนาจ ชนชั้นแรงงานคงมีความเป็นอยู่และสวัสดิการที่ดีขึ้นแน่นอน>
ผมพูดและยิ้มด้วยไมตรี มีอีกหลายคนเริ่มเข้ามาสมทบด้วยความสนใจ ผมรีบพูดต่อทันที <รู้มั้ยครับว่า วันนี้มวลชนเสื้อสีกำลังชุมนุมกันอยู่ที่สนามหลวงหลายหมื่นคน จุดหมายคือบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ถ้าพวกท่านยังอยู่ตรงนี้เมื่อกลุ่มมวลชนเสื้อสีมาพวกท่านก็จะถูกบีบเป็นไข่แดงอยู่ตรงกลางออกก็ไม่ได้เพราะติดมวลชนเสื้อสี เข้าทำเนียบก็ไม่ได้เพราะมีกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ รักษาการณ์เต็มพื้นที่ ผมว่าพวกท่านกลับไปก่อน เหตุการณ์สงบแล้วค่อยมาเรียกร้องใหม่ดีกว่านี่ก็ใกล้เวลาพวกเขาจะมากันแล้วนะครับ>
พูดเสร็จ ผมสวมหมวก ยิ้มและพูดส่งท้ายว่า <โชคดีนะครับ>
แล้วเดินกลับไป โดยไม่รอฟังคำตอบหรือคำพูดใด ๆ เพราะบทเรียนที่ผ่านมาคือ <ไล่ก็ไม่ออกบอกก็ไม่ไป> ผมจึงไม่ไล่และไม่บอกแต่ต้องการให้คิดกันเองตามที่ผมพูดไป
เมื่อผมเดินถึงแนวแผงเหล็กกั้นและเปิดเข้าไป หันไปดูอีกที เห็นกลุ่มผู้ชุมนุมสหภาพโรงงานยาสูบบนสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ทั้งคนทั้งรถพาออกไปจากสะพานกันหมดแล้ว
พล.ต.ท.วรพงษ์ ได้ถามผมด้วยความสนใจว่า <พูดกับเขายังไง ? พวกเขาถึงรีบออกไปกันจนหมด>
ผมตอบยิ้ม ๆ ว่า <ผมพูดความจริง อย่างมีศิลปะการนำเสนอครับ>
หลังจากผู้ชุมนุมสหภาพโรงงานยาสูบกลับไปไม่นาน ผู้ชุมนุมเสื้อสีก็นำมวลชนมาเต็มถนนเพื่อที่จะพากันบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล
แต่ก็เป็นมวลชนเดียว ม็อบเดียว ไม่ใช่ <ม็อบซ้อนม็อบ> เหมือนที่เป็นก่อนหน้านี้
มีตำรวจคนหนึ่งบอกผมว่า <พี่ออกไปพูด จนกลับมาใช้เวลาประมาณ สองนาทีครึ่งครับ>
นั่นแน่ ! มีคนจับเวลาการเจรจาของตำรวจบ้านนอกด้วยละ
พล.ต.ต.ไอยศูรย์ สิงหนาท