คอลัมนิสต์

ผู้พิพากษา ตำรวจ พระ


4 มีนาคม 2024, 9:43 น.

 

<ผู้พิพากษา ตำรวจ พระ>

 

ตอนที่ 1 <เล่าเรื่องเหล้า> 

 

ร.ต.อ.มนตรี อดีตนายตำรวจ สน.พญาไท เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จว.เดชอุดม

 

พ.ต.อ.ไอยศูรย์ อดีต รอง สวส.สน. พญาไท เป็น ผกก.สภ. เดชอุดม จว.อุบลราชธานี

 

หลวงพ่อเอนก เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าไทรงาม สาขาที่ 10 ของวัดหนองป่าพง อยู่ที่ อ.เดชอุดม

 

ตอนบ่ายของวันหนึ่ง ท่านหัวหน้าศาล โทรศัพท์มาหาผม พูดว่า <พี่ไอยศูรย์ เมื่อกลางวันนี้ลูกน้องผมนั่งกินเหล้ากับลูกน้องพี่ ที่ทำหน้าที่ดูแลควบคุมผู้ต้องหาที่ศาล ที่ร้านอาหาร ข้าง ๆ ศาล แล้วลูกน้องผม เอาปืนจากโต๊ะทำงานลูกน้องพี่ไปจี้จ่าศาลเพราะเคยมีเรื่องกันมาก่อนหน้านี้ ผมสั่งดำเนินคดีกับลูกน้องผมไปแล้วพี่จะเอายังไงกับลูกน้องพี่ ?>

 

ผมฟังเสร็จ ตอบท่านหัวหน้าศาลไปว่า <ลูกน้องผม เดี๋ยวผมจัดการเองแล้วจะแจ้งให้ท่านทราบครับ>

 

ผมให้ สวป. ไปนำตัวตำรวจที่ทำหน้าที่ควบคุมผู้ต้องหาที่ศาลมาพบที่ห้องทำงาน มี 4 นาย แต่งเครื่องแบบตำรวจ กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งไปทั้งห้องทำงาน

 

ผมมองหน้าเรียงคนรู้สึกสลดใจเหลือเกินกับภาพที่เห็น ผมพูดว่า <ผมเคยบอกเคยอบรมไปแล้วทุกครั้งในเวลาประชุม ว่าให้รักษาระเบียบวินัย ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่และขณะที่สวมเครื่องแบบทำไมถึงไม่เชื่อฟัง ? กลับกินเหล้าเมายากันทั้งเครื่องแบบและยังอยู่ในช่วงเวลาปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย>

 

ด.ต. ที่อาวุโสกว่าเพื่อนตอบผม แทนทุกคนว่า <พวกผมเคยโดนขังมาแล้ว ก่อนผู้กำกับ มาอยู่ที่นี่ ถ้าจะโดนขังอีกรอบก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ได้ขั้นอยู่ดีครับ>

 

พูดไปก็ยืนโงนเงนไป แทบประคองตัวไม่อยู่

 

ผมกำชับทั้ง 4 คนเมา ให้แต่งเครื่องแบบมาพบผมใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้น เวลา 09.00 น. ที่ห้องทำงาน แล้วให้ สวป. เอาทั้ง 4 คนไปส่งที่บ้านพักจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นไปทำหน้าที่ที่ศาลแทน

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ตรงเวลาเป๊ะ 4 ตำรวจมาพบตามคำสั่ง แต่งเครื่องแบบเรียบร้อย หลงเหลือกลิ่นเหล้าอยู่บ้างแต่นัยน์ตาแดงก่ำ

 

ผมมองหน้าทุกคน พูดว่า <เมื่อวานพูดท้าทายผม จะขังก็ไม่เป็นไร แต่ผมไม่ขังนะ> พูดไม่ทันจบ ทั้ง 4 คนรีบยกมือไหว้พูดเกือบพร้อมกัน <ขอบคุณครับผู้กำกับ>

 

ผมพูดต่อ <ผมยังพูดไม่จบ>

 

ผมให้ตำรวจหน้าห้องแจ้งจ่ากองให้เอาระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดีมาเปิดเรื่องความประพฤติและระเบียบวินัย พร้อมบทลงโทษ ถ้ามีการฝ่าฝืน

 

<ทั้ง 4 คนอ่านซิ อ่านออกเสียงดัง ๆ จะได้รู้ว่าที่ผมไม่ขังเพราะอะไร ?> ตำรวจทั้ง 4 นาย น่าจะสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง ไม่มีใครกล้าอ่านออกเสียงสักคน

 

<อ่านเดี๋ยวนี้> ผมพูดเสียงดัง จ้องหน้าทั้ง 4 คนเขม็ง ตำรวจทั้ง 4 นาย อ่านออกเสียงไม่พร้อมกันกระท่อนกระแท่นด้วยความกลัวและความตกใจคงคิดไม่ถึงว่า บทลงโทษตามระเบียบจะหนักถึงเพียงนี้

 

<ดื่มสุรา หรือมีอาการมึนเมาสุราขณะปฏิบัติหน้าที่ให้ออกจากราชการ> 

 

ผมสั่งจ่ากอง <จ่ากอง ออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามระเบียบ> ตำรวจทั้ง 4 นาย เข่าอ่อนแทบทรุดตัวลงกับพื้น แล้วก็ทรุดลงจริง ๆ ยกมือไหว้ผม พูดเสียงสั่นเครือ <ผู้กำกับครับ พวกผมขอโทษครับไม่เคยรู้เลยว่ามีระเบียบมีบทลงโทษหนักแบบนี้ พวกผมจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้วครับ> 

 

ผมซ่อนยิ้มไว้ในใจ ทำตาดุพูดเสียงดังต่อไปว่า <ความผิดชัดเจน ช่วยไม่ได้ ท่านหัวหน้าศาลก็ดำเนินคดีกับลูกน้องท่านไปแล้ว ปืนของใคร ที่เขาเอาไปจี้จ่าศาล>

 

มีคนหนึ่งพูดขึ้น <ของผมเองครับ เอาไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานเขาคงสังเกตุเห็นว่า ผมมีแต่ซองปืนคาดเข็มขัดอยู่ ผมไม่รู้ว่าเขาเอาไปครับ>

 

ผมรุกไล่ต่อทันที <อยู่ที่คณะกรรมการสอบสวนจะเสนอมา ทั้ง 4 คน ออกไปได้> 

 

ไม่มีใครขยับ ไม่มีใครออก พากันพูดกับผมว่า <ช่วยพวกผมด้วยเถอะครับพวกผมไม่มีที่พึ่งแล้วครับผู้กำกับ>

 

ผมมองหน้าเรียงคน แต่ละคนหลบสายตา ก้มหน้า บางคนมีหยดน้ำตา ผมพูดดัง ๆ ว่า <กลับไปบ้าน บอกพ่อแม่ ลูกเมีย ญาติพี่น้องที่พักอยู่ด้วยกันทุกคน วันพรุ่งนี้สามโมงเช้ามาพบผมที่ห้องทำงานนี้ ขอย้ำให้มาทุกคน ใครทำงานก็ให้ลาครึ่งวัน ลูกหลานไปเรียนก็ต้องให้ลาครึ่งวัน ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว ผมอยากจะพูดคุยกับทุกคน แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจจะได้ไม่ต้องมานินทาผมลับหลังไปได้>

 

ตำรวจทั้ง 4 นาย พูดพร้อม ๆ กันว่า <ครับท่านผู้กำกับ> พูดแล้วทำท่าจะก้มลงไหว้กับพื้นอีก แต่ผมห้ามไว้ <ช่วยพวกผมด้วยนะครับ> คือคำพูดส่งท้ายจาก 4 คนที่ไม่เมาแล้ว

 

<ผู้พิพากษา ตำรวจ พระ>

 

ตอนที่ 2 <เล่าเรื่องพระ>

 

เช้าวันต่อมา ตำรวจทั้ง 4 นาย และคนที่บอกให้มาด้วยทุกคนมาตามนัดหมาย คนเต็มห้อง

 

ผมพูดขึ้นว่า <ผมต้องขอโทษที่เชิญทุกคนมา อาจจะเสียเวลาทำงานเสียเวลาเรียนแต่ผมจำเป็นต้องพูดให้ทุกคนเข้าใจ> ทุกคนมองผม เงียบ แต่สีหน้าว้าวุ่นกังวลจนเด่นชัด ผมพูดต่อไปว่า <ตำรวจทั้ง 4 นาย ดื่มสุราขณะปฏิบัติหน้าที่ เมาสุราขณะปฏิบัติหน้าที่โทษตามระเบียบคือ ให้ออกจากราชการ>

 

มีเสียงพูดซุบซิบเบา ๆ หันหน้ามองกันไปมา ผมพูดต่ออีกว่า <การออกจากราชการนั้น ต้องเสียสิทธิ์ที่มีทุกอย่าง เช่นบ้านพักหลวง หรือแฟลตตำรวจที่เคยอยู่ ก็อยู่ไม่ได้ เบิกค่าเล่าเรียนไม่ได้ เบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ ทุกคนจะต้องออกจากบ้านพักหรือแฟลตตำรวจ ดังนั้นการให้ออกจากราชการ จึงไม่ได้ออกเฉพาะตำรวจคนเดียว ทุกคนที่มาอยู่อาศัยร่วมกันต้องออกหมดเพราะต้องคืนที่พักให้หลวงตามระเบียบ>

 

เริ่มมีเสียงคนร้องไห้ บางคนทั้งหญิง ทั้งชายช่วยกันพูด <ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วยค่ะ ท่านผู้กำกับ ช่วยลูกนกลูกกาด้วย เขาคงไม่กล้าทำอีกแล้ว เมื่อคืนพูดคุยกันเขาก็รู้สึกเสียใจ>

 

ผมทำท่าถอนใจเฮือกใหญ่ พูดกับตนเองเบา ๆ แต่ตั้งใจให้ทุกคนในห้องได้ยิน <คงต้องใช้ธรรมะช่วย> 

 

และพูดดัง ๆ ว่า <เอายังงี้นะ ผมขอเสนอ ทั้ง 4 คน ให้ไปอยู่วัดป่าไทรงาม โกนหัว นุ่งขาวห่มขาวทำตัวเป็นลูกศิษย์พระ ผมพูดกับหลวงพ่อเอนก ไว้แล้วให้ปัดกวาด ทำความสะอาดวัดและลานวัดล้างห้องน้ำห้องส้วม เช้าเดินตามหลังพระที่ไปบิณฑบาต สวดมนต์เช้าเย็นพร้อมพระที่ทำวัตร ที่สำคัญ ทุกคนจะต้องขานนาคให้ได้ เมื่อครบ 7 วัน จะให้บวชต่ออีก 1 เดือน ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง รวมทั้งอัฐบริขาร ผมจัดการให้เอง 

 

จะมีตำรวจเข้าไปสังเกตุการณ์และรายงานผมตลอดทุกระยะ ถ้าหลวงพ่อเอนก รับรองให้ว่าได้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีตลอดระยะวลาที่อยู่วัด ตั้งแต่โกนหัวนุ่งขาวห่มขาว จนถึงบวชพระ ผมจะดูแลเรื่องการตั้งคณะกรรมการสอบสวนให้ ว่าไง ?>

 

ตำรวจทั้ง 4 นายและญาติพี่น้องที่มาทั้งหมดยกมือไหว้ผมแบบยินยอมพร้อมใจ แต่ก็มีตำรวจนายหนึ่งพูดขึ้นว่า <แล้วพวกผมจะได้รับเงิน ประจำตำแหน่ง 1,200 บาท ไหมครับ ? เพราะถ้าไม่ได้ทำงานก็ไม่ได้เงินครับ>

 

เงินเพิ่มประจำตำแหน่งชั้นประทวน เมื่อก่อน เดือนละ1,200 บาท เป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับชีวิตตำรวจโดยเฉพาะผู้น้อย ผมหัวเระเบา ๆ แล้วพูดสัพยอกว่า <จะตายกันอยู่แล้วยังมาห่วงเรื่องเงินทองอีก ไม่ต้องกังวล ผมเตรียมการไว้แล้วจะให้จ่ากองออกคำสั่งให้พวกเราทั้ง 4 คน ไปสืบสวนหาข่าวยาเสพติด และอาชญากรรมในวัดและบริเวณใกล้เคียงในช่วงเวลานั้นจะได้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วย รับรอง ทุกคนได้เงินประจำตำแหน่งแน่นอน>

 

ทั้ง 4 คนพูดขึ้นพร้อม ๆ กัน <ขอบคุณครับ>

 

ผมพูดสำทับส่งท้าย <เริ่มอยู่วัด โกนหัวนุ่งขาวห่มขาววันพรุ่งนี้เลยนะ>

 

อีกสักครู่หนึ่ง ก็บอกให้ทุกคนกลับไป สีหน้าแต่ละคนเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังผิดกับตอนที่มาชัดเจน

 

ผมไปพบหลวงพ่อเอนก ด้วยตนเองหลายครั้ง ลูกน้องไปสังเกตุการณ์บ้าง แล้วมารายงาน ตำรวจทั้ง 4 นาย ที่มาอยู่วัดป่าไทรงาม ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตนเป็นลูกศิษย์วัดที่ดี เป็นพระที่ดี สวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาตไม่เคยขาด

 

ชาวบ้านที่ไปทำบุญที่วัดหรือตักบาตรเช้าพอเห็นพระตำรวจเข้าต่างก็พากันยกมือไหว้อนุโมทนาสาธุกันใหญ่

 

<ผู้พิพากษา ตำรวจ พระ>

 

ตอนที่ 3 <เล่าเรื่องบุญ>

 

เมื่อครบกำหนด 1 เดือน กับ 7 วัน ก็ถึงวันลาสิกขาบท ทิดสึกใหม่ทั้ง 4 คน ยังอยู่วัดต่ออีก 3 วัน ทำตัวเป็นลูกศิษย์พระเหมือนเดิม แบบที่คนโบราณเรียกว่า <ชำระหนี้สงฆ์>

 

ผมได้เก็บภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่งทุกเหตุการณ์ ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ตำรวจ 4 นาย เริ่มโกนหัว นุ่งขาวห่มขาว ตอนบวชเป็นพระ ตอนปฏิบัติกิจสงฆ์ และเขียนคำอธิบายไว้ใต้ภาพจัดทำเป็นรูปเล่มสวยงาม 3 ชุด

 

ผมไปพบท่านหัวหน้าศาล พูดคุยกับท่านถึงแนวทางที่ผมได้ทำไปพร้อมเอาสมุดภาพเล่มหนึ่งให้ท่านดู โดยผมพูดเน้นกับท่านว่า <คนที่จะออก ไม่ได้มีแค่คนกระทำผิดคนเดียว แต่ทุกคนที่มาอยู่อาศัยด้วยกันต้องออกด้วย สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ออกตามหมดสิ้น ที่สำคัญตำรวจเหล่านี้ไม่เคยศึกษา ไม่เคยรู้ระเบียบเหล่านี้มาก่อนครับ>

 

โชคดีที่ท่านหัวหน้าศาลเป็นตำรวจเก่า เคยอยู่ที่ สน.พญาไท มาด้วยกันและมีมิตรไมตรีต่อกัน ท่านหัวหน้าศาลฟังผมพูด พลิกดูรูปภาพ พร้อมคำอธิบาย ช้า ๆ ทีละแผ่น ท่านเงยหน้ามองหน้าผมแล้วพูดว่า <ถ้าพี่ทำถึงขนาดนี้ก็แล้วแต่พี่แล้วกัน>

 

ผมขอบคุณท่าน แล้วเดินทางกลับที่ตั้ง

 

อย่าสงสัย ? และอย่าถามนะครับ ? ว่าสำนวนการสอบสวนของคณะกรรมการ ออกมารูปแบบไหน ? แนวทางใด ?

 

<ผลบุญ> ครั้งนี้ ทำให้ได้ตำรวจใหม่ที่ดีงาม 4 นาย

 

<ผลบุญ> ครั้งนี้ ทำให้พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติพี่น้อง ของตำรวจ ที่มาอาศัยอยู่ด้วยกันไม่ต้องออกจากบ้านพักหรือแฟลตตำรวจ

 

<ผลบุญ> ครั้งนี้ ทำให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ราชการให้ ยังอยู่ครบถ้วนทั้งหมด

 

และ <ผลบุญ> ครั้งนี้ ตำรวจทั้ง 4 นาย ไม่โดนขังครับ

 

<ทุกปัญหามีทางออกเสมอ เพียงแต่ต้องหาให้เจอเท่านั้น>

 

พล.ต.ต.ไอยศูรย์ สิงหนาท

 

ข่าวในหมวดเดียวกัน

เพิ่มเติม...

การเมือง

คอลัมนิสต์

คมในความ

มหาราษฎร์ Shorts

ภาพเก่าเล่าอดีต

ไฮไลท์

ข่าวประชาสัมพันธ์

ตำรวจ ทหาร อัยการ ศาล คุก

ท่องเที่ยว

ศาสนา

สุขภาพ

แวดวงนักรบ

สังคม

บทบาทบุคคล

< กลับหมวดคอลัมนิสต์

เรื่องล่าสุด