ภาพเก่าเล่าอดีต

เมื่อกรมหลวงชุมพรฯ สู่สมรภูมิ บรรทมกับศพ จับหอยทากเสวยแก้หิว


9 พฤศจิกายน 2023, 14:12 น.

 

เมื่อกรมหลวงชุมพรฯ สู่สมรภูมิ บรรทมกับศพ จับหอยทากเสวยแก้หิว

โรม บุนนาค

 

 

ในบรรดาพระราชโอรสของสมเด็จพระปิยมหาราช “กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” หรือพระนามเดิม “พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์” ชีวิตไม่ได้ราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินควรจะเป็น ทรงใช้ชีวิตผจญภัยอย่างลูกผู้ชายธรรมดาทั่วไป ทรงเผชิญวิบากกรรมถึงขั้นถูกปลดออกจากราชการในขณะปฏิบัติหน้าที่ ‘พระบิดาแห่งราชนาวีไทย’ และเมื่อทรงหันไปศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ ก็ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘หมอเทวดา’ ออกรักษาคนอาการหนักทั่วไป ถึงขั้นทำคลอดให้นางละครที่หลังเวที แต่ที่หนักหนาสาหัสยิ่งก็คือ ทรงเป็นพระราชโอรสรัชกาลที่ ๕ เพียงพระองค์เดียวที่ต้องออกรบในสมรภูมิต่างแดน เสี่ยงชีวิตและผจญกับความลำบากอย่างแสนเข็ญ

 

 

ในวัยหนุ่ม พระองค์เจ้าอาภากรฯ มักจะเสด็จท่องราตรีไปตามโรงยาฝิ่น ร้านขายสุรา และโรงบ่อนต่างๆ ทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรีโดยมี ‘นายเล่’ นักเลงโตย่านนางเลิ้งและสะพานเหล็ก ซึ่งมีสมุนเป็นอันธพาลจำนวนมากเป็นผู้ติดตามรับใช้ บางครั้งก็ทรงไปนอนคุยกับพวกสูบฝิ่นในโรงยาฝิ่นโดยไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เป็นใครต่อมาเจ้าพี่เจ้าน้องทราบเรื่อง จึงนำไปเพ็ดทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบิดาว่ากรมหลวงชุมพรฯ ประพฤติตนไม่เหมาะสม คบนักเลง กินข้างถนน นอนโรงยาฝิ่น ทำให้เสื่อมเสียถึงราชวงศ์

 

 

ร. ๕ ยังไม่ทรงเชื่อเรื่องนี้นัก จึงออกสืบหาความจริงด้วยพระองค์เอง ทรงปลอมเป็นราษฎรสามัญ เสด็จด้วยรถม้าคันเล็กๆ ไปจอดที่หน้าบ่อนต้นมะขาม นางเลิ้ง แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปตามโรงยาฝิ่นและร้านสุราย่านนั้น พอเสด็จมาถึงหน้าโรงยาฝิ่นก็ทอดพระเนตรเห็นเสด็จในกรมฯ พร้อมด้วยนายเล่ข้าติดตาม ออกมาพอดี ร.๕ ทรงจับได้คาหนังคาเขา จึงชี้พระหัตถ์ไปที่กรมหลวงชุมพรฯ แล้วรับสั่งว่า

 

“นั่นแน่ อาภากร ประพฤติตนแบบที่เขาฟ้องจริงๆ”

 

 

เมื่อตามเสด็จกลับไปที่รถม้าแล้ว กรมหลวงชุมพรฯ ก็ก้มลงกราบพระบาทพระราชบิดาแล้วทูลว่า ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อจะสืบหาข่าวว่าใครคิดร้ายต่อเสด็จพ่อ คิดกบฏต่อบ้านต่อเมือง หรือจะลักขโมยเข้าปล้นกันที่ไหน จะได้ป้องกันได้ทันท่วงที สมเด็จพระปิยมหาราชจึงทรงลูบหลังพระโอรสองค์โปรด พร้อมกับรับสั่งว่า

 

“อ้อ อย่างนั้นดอกหรือ”

 

รุ่งขึ้นก็รับสั่งให้เสด็จในกรมฯ เข้าเฝ้า และพระราชทานสร้อยสังวาลทองคำฝังเพชร ๑ สาย เป็นรางวัลความดีความชอบที่ออกสืบราชการลับ เสด็จในกรมฯ เลยถือโอกาสบรรจุนายเล่เข้ารับราชการเป็นทหารเรือ ยศว่าที่นายเรือตรี มีหน้าที่คอยติดตามเสด็จเวลาออก ‘สืบราชการลับ’ โดยเฉพาะ

 

 

นายพลเรือตรี พระยาหาญกลางสมุทร บันทึกถึงสาเหตุที่ นายพลเรือตรี กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ถูกออกจากราชการเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๔ เพราะต้นเหตุมาจาก ‘ตรุสบ้า’

 

ทั้งนี้ นายเรือตรี ตรุส บุนนาค ซึ่งมีฉายาว่า ‘ตรุสบ้า’ ได้ดื่มสุราเมา แล้วพูดถึงเรื่องเงินเพิ่มอีก ๕๐ บาทนอกเหนือจากเงินเดือนประจำ ๖๕ บาท ที่ยังไม่ได้รับ เพราะทางการยังพิจารณาไม่เสร็จ ทำให้นายเรือตรีตรุสไม่พอใจ ประกาศลั่นว่าถ้าไม่จ่ายก็ให้ระวังปืนเรือ

 

คำประกาศขณะเมาของ ‘ตรุสบ้า’ ถูกนำไปเพ็ดทูลเข้าพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพิโรธ และโทษว่ากรมหลวงชุมพรฯ สั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ดี หนักไปทางก่อกำเริบ อาจจะกลายเป็นพวกบอลเชวิค ซึ่งขณะนั้นพวกบอลเชวิคได้ทำการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซีย เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ทำให้คำว่า ‘บอลเชวิค’ เป็นที่หวาดกลัวมาถึงเมืองไทย ประกอบกับมีข่าวซุบซิบกันว่า กรมหลวงชุมพรฯ จะนำทหารเรือคิดกบฏ สถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นพระเจ้าแผ่นดิน

 

พระบิดาแห่งราชนาวีไทย จึงต้อง ‘ทรงตกงาน’ เพราะความเมาของผู้ใต้บังคับบัญชานั่นเอง

 

 

แต่ต่อมาในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๖๐ กรมหลวงชุมพรฯ ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้กลับเข้ารับราชการอีก ในตำแหน่งจเรทหารเรือ และได้เลื่อนยศเป็น นายพลเรือโท ตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ ในรัชกาลเดียวกัน

 

เมื่อมีเหตุต้องออกจากราชการทหารเรือในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ นายพลเรือตรี กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงหันมาใช้เวลาว่างศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจากพระยาพิษณุประสาทเวชหัวหน้าหมอหลวงฝ่ายยาไทย ทรงศึกษาอย่างคร่ำเคร่ง และเปิดวังของพระองค์เป็นห้องทดลอง เมื่อพบตัวยาขนานใดก็ให้สัตว์ทดลองก่อน จนแน่ใจจึงนำมาใช้กับคน และออกรักษาประชาชนผู้ยากไร้โดยไม่คิดทั้งค่ายาค่ารักษา

 

 

ในไม่ช้าวังของพระองค์ก็แปรสภาพเป็นโรงพยาบาล มีการตรวจรักษาด้วยแผนโบราณและสมัยใหม่ โดยใช้วิธีตรวจเลือด ตรวจร่างกายด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ แต่รักษาด้วยยาสมุนไพรโบราณ ส่วนมากเสด็จในกรมฯ จะอยู่ในชุดโสร่งสีแดง ไม่ใส่เสื้อ มีเพียงผ้าขาวม้าพาดบ่าเห็นรอยสักเต็มองค์ ออกตรวจรักษาคนไข้ พระองค์ไม่ประสงค์ให้ใครๆ เรียกกันว่า ‘เสด็จในกรม’ แต่โปรดให้เรียกว่า ‘หมอพร’ ทรงวางพระองค์เป็นหมอธรรมดา แต่กิตติศัพท์การรักษาของพระองค์ลือลั่นไปทั่วบางกอกว่าหมอพรเป็นผู้วิเศษ โรคที่ใครรักษาไม่ได้ คนไข้กำลังจะตายอยู่แล้ว หมอพรยังชุบชีวิตขึ้นมาได้ยังกับหมอเทวดา

 

 

ครั้งหนึ่งทรงแต่งชุดหมอพร นุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สะพายร่วมยาเดินไปรักษาคนไข้แถวสำเพ็ง หญิงชราชาวจีนคนหนึ่งเข้ามากราบพระบาท ทูลว่าสามีของนางเป็นวัณโรคมานานแล้ว รักษามาหลายหมอก็ไม่หายซักที ขณะนี้กำลังพะงาบๆ ใกล้ตายเต็มทน ขอทรงโปรดช่วยชีวิตสามีของนางด้วยเถิด

 

หมอพรเข้าไปพินิจพิจารณาอาการของจีนชราที่นอนหายใจครอกๆ ทรงทำพิธีเป่ามนต์และมอบยาไว้ให้ หลังจากนั้นไม่กี่วันพระองค์เสด็จไปดูอาการอีกครั้ง ปรากฏว่าจีนชราลุกขึ้นมากราบพระบาทประหลกๆ พร้อมกับบอกเมียให้ไปเอาเงินมาลังหนึ่งเพื่อถวายเป็นค่ายา แต่หมอพรโบกพระหัตถ์รับสั่งว่า พระองค์ไม่ใช่หมอเซ็งลี้ ขอให้เอาเงินนั้นไปบริจาคการกุศลดีกว่า

 

 

อย่าว่าแต่จะชุบชีวิตคนจะตายให้ลุกขึ้นมาได้เลย แม้แต่คนจะคลอด หมอพรก็ทรงทำได้

 

คืนหนึ่ง นางละครคณะปรีดาลัยเกิดเจ็บท้องขึ้นมากลางดึก พวกละครวิ่งวุ่นกันทั้งโรง เพราะไม่รู้ว่าจะหาหมอที่ไหนมาทำคลอด พลันนึกถึงหมอพร จึงวิ่งไปตามถึงวังนางเลิ้ง หมอพรรับสั่งว่าไม่มีความรู้เรื่องหมอตำแยเลย แต่เมื่อรบเร้าให้ไปให้ได้ก็จะไปให้ เผอิญการคลอดครั้งนั้นลุล่วงไปอย่างง่ายดาย ปลอดภัยทั้งแม่และลูก กิตติศัพท์เรื่องหมอพรทำคลอดให้นางละครคณะปรีดาลัยจึงดังระบือไปทั่วเมือง ใครๆ ที่กำลังตั้งท้องก็อยากจะให้หมอพรไปทำคลอดให้ทั้งนั้น

 

ที่ร้ายแรงที่สุดในพระชนม์ชีพเห็นจะเป็นเมื่อครั้งทรงไปศึกษาวิชาการทหารเรือที่อังกฤษ เมื่อสำเร็จการศึกษา ทรงสอบได้เป็นลำดับที่ ๗ ของรุ่นขณะมีพระชนม์เพียง ๑๘ พรรษา เข้าฝึกงานในเรือหลวง Revenge ของราชนาวีอังกฤษ ซึ่งประจำการอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ขณะนั้นเกิดจลาจลขึ้นที่เกาะครีทใกล้ฝั่งตุรกี ซึ่งอยู่ในความปกครองของอังกฤษ ทหารอังกฤษถูกฆ่า อังกฤษจึงระดมเรือรบในย่านนั้นเข้าปราบกบฏ รวมทั้งเรือ Revenge ด้วย กรมหลวงชุมพรฯ ทรงรับหน้านำทหารอังกฤษเข้าปราบกบฏถึง ๓ เดือน ทรงเล่าให้นายพลเรือตรีพระยาหาญกลางสมุทรฟังว่า

 

“…ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย หนาวก็หนาว ในสนามรบต้องนอนกับศพที่ตายใหม่ๆ และบางคราว ซ้ำยังอดอาหาร ต้องจับหอยทากมาเสวยกับหัวหอม ศพที่ถูกยิงที่ท้องนับว่าเหม็นร้ายกาจมาก ถึงจะเป็นศพตายใหม่ๆ ก็ตาม…”

 

 

นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ผกผันของลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่ง ที่มีคนรักใคร่นับถือมากมาย แม้พระองค์จะล่วงลับไปเกือบ ๑๐๐ ปีแล้ว ความรักนับถือนี้ก็ยังไม่คลาย และสร้างศาลของพระองค์ไว้ในหลายจังหวัดกว่า ๒๐๐ ศาล เหมือนเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งไปแล้ว

 

 

Cr..เจาะเวลาหาอดีต

ข่าวในหมวดเดียวกัน

เพิ่มเติม...

การเมือง

คอลัมนิสต์

คมในความ

มหาราษฎร์ Shorts

ภาพเก่าเล่าอดีต

ไฮไลท์

ข่าวประชาสัมพันธ์

ตำรวจ ทหาร อัยการ ศาล คุก

ท่องเที่ยว

ศาสนา

สุขภาพ

แวดวงนักรบ

สังคม

บทบาทบุคคล

< กลับหมวดภาพเก่าเล่าอดีต

เรื่องล่าสุด