คอลัมนิสต์

มีควัน “ย่อมมีไฟ” ขบวนการค้ามนุษย์ ยุทธการ “ชี้หน้ากาหัว”


28 กุมภาพันธ์ 2022, 16:44 น.

 

มีควัน “ย่อมมีไฟ”
ขบวนการค้ามนุษย์
ยุทธการ “ชี้หน้ากาหัว”

กระหึ่มไปทั้งเมือง เมื่อ สส.พรรคก้าวไกล “รังสิมันต์  โรม” เปิดโปงเรื่องราวขบวนการค้ามนุษย์โรฮิงญา พื้นที่ภาคใต้ ตอนเปิดอภิปรายในสภาฯ ที่ผ่านมา “จริงหรือเท็จ จะหมกเม็ด แค่ไหน ?” กลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ถล่มใส่กลุ่ม 3ป. จนมีคำถามสะท้อนไปมา

กระทั่งเรื่อง พล.ต.ต.ปวีณ  พงศ์สิรินทร์ ที่หนีลี้ภัยไปออสเตรเลีย เริ่มซา หายไปจากพื้นที่ข่าว

 

ไล่เลี่ยกับการออกมาตั้งคำถามของ นายปริญญา  เทวานฤมิตรกุล อจ.คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ว่าถ้าไม่นักหนาสาหัสจริง ๆ นายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการ คงไม่ลี้ภัยไปต่างเมือง นายกรัฐมนตรี ต้องเชิญเขากลับมา และรับรองความปลอดภัย เพื่อหาปลาตัวใหญ่ มาให้ได้

จากบันทึกข่าวสกู๊ปของ นสพ.มติชน ในอดีต ระบุถึง “ตราบาปในยุทธจักรสีกากี” ปฐมเหตุเรื่อง “ค้ามนุษย์” ปรากฏดังนี้

 

คดีนี้เริ่มต้นเมื่อเช้า วันที่ 1 พฤษภาคม 2558 เจ้าหน้าที่หลายหน่วยสนธิกำลังตรวจสอบ แคมป์ที่พักชาวโรฮิงญา บนยอดเขาแก้ว ต.ปาดังเมซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ห่างจากชายแดนมาเลเซีย 300 เมตร

ลักษณะเป็นป่าดิบเปิด พื้นที่ตั้งแคมป์ชั่วคราว 2 ไร่ สิ่งปลูกสร้าง 39 แห่ง แยกเป็นโรงนอน 26 หลัง ที่เหลือเป็นโรงครัว ที่อาบนํ้า ห้องนํ้า รวมทั้งหอคอย สังเกตการณ์

 

“ห่างแคมป์ไป 50 เมตร ถูกแผ้วถางสำหรับเป็นสุสาน ฝังศพ เนื้อที่ 1 ไร่”

 

รุ่งขึ้นอีกวัน “พล.ต.อ.เอก  อังสนานนท์” รอง ผบ.ตร.ขณะนั้น บินด่วนลงไปตรวจพื้นที่ทันที พร้อมเรียกประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

 

“พร้อมวางแนวทางสืบสวนไว้คร่าว ๆ 3 แนวทาง !” 

 

หนึ่ง เช็คความเชื่อมโยงคดีที่ จ.นครศรีธรรมราช ที่มีการแจ้งความลักพาตัวชาวโรฮิงญา ไปเรียกค่าไถ่

 

สอง ตรวจสอบโครงกระดูก ที่พบบริเวณสุสานฝังศพบนเทือกเขาแก้ว และสาเหตุการตาย เชื่อมโยงกับใคร ?

 

สาม สอบสวนชาวโรฮิงญา ที่นอนป่วยอยู่ในแคมป์ ว่ามีใครเข้าเกี่ยวข้อง และทำผิดตามกฏหมายอะไร ?

 

และรวมทั้งเร่งพิสูจน์ค้นหาพื้นที่ บนเทือกเขาแก้ว ยังมีชาวโรฮิงญา หลงเหลือ รอความช่วยเหลืออีกหรือไม่ ?

 

เรียกว่า “ตำรวจ” ทำงานแข่งกับเวลา เพราะคดีนี้ ไม่ใช่คดีธรรมดา..

 

“เป็นขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ !!”

จนอัยการสูงสุด มอบหมายให้ “พล.ต.อ.เอก” เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้ เพราะการกระทำเชื่อมโยง ทั้งในและนอกราชอาณาจักร โดยส่ง “อัยการสมนึก เสียงก้อง” ร่วมด้วย

 

“เรียกว่าทำงานเป็นทีม ทั้ง ตำรวจ และ อัยการ !”

 

โดยตั้งศูนย์สืบสวนเฉพาะกิจขึ้นที่ สภ.หาดใหญ่ และตั้ง “พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์” เป็นหัวหน้าทีมสอบสวน ระดมพนักงานสอบสวน กว่าร้อยนาย จากพื้นที่ระนอง พังงา ชุมพร นครศรีธรรมราช สตูล และคดีที่เกี่ยวข้อง กับการค้ามนุษย์ อีก 3-4 คดี

 

พร้อมดึง ปปง. มาร่วมทำคดี จนตามยึดทรัพย์สินจากผู้ต้องหา กว่า 200 ล้านบาท ก่อนใช้เวลา 5 เดือน สรุปสำนวน เป็นเอกสาร 30 กล่อง หนากว่า 2 แสนหน้า มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา

 

“ทั้งทหาร ตำรวจ นักการเมืองท้องถิ่น พลเรือน ทั้งไทย-พม่า ได้กว่า 80 คน ออกหมายจับกว่า 100 ราย”

 

ทว่า ในการทำคดีสำคัญ เต็มไปด้วยความลำบาก เพราะเกี่ยวโยงกับคนในเครื่องแบบ นักการเมือง ผู้มีอิทธิพล ย่อมถูกกดดัน รอบข้าง !

 

จึงต้องโอนคดีค้ามนุษย์ข้ามชาติ มาพิจารณาที่ศาลแผนกคดีค้ามนุษย์ใน กทม. ถือเป็นคดีแรก ! เนื่องจาก มีการขู่พยาน

 

ศาลอุทธรณ์ แผนกคดีค้ามนุษย์ สั่งแก้โทษ ให้จำคุกจำเลยทั้งสิ้น 76 คน ยกฟ้อง 26 คน

 

“จำเลยส่วนใหญ่ ถูกสั่งจำคุก ตั้งแต่ 36-94 ปี เมื่อรวมลงโทษ ทุกกระทงแล้ว ให้จำคุกสูงสุด ไว้ 50 ปี”

 

ถือเป็นคัมภีร์สืบสวนฯ แก่ตำรวจรุ่นหลัง อีกทั้งคดีนี้ มีส่วนส่งผลให้ประเทศไทยถูกปรับยกระดับจาก “เทียร์ 3” ขึ้นมา อยู่ในระดับ “เทียร์ 2 เฝ้าระวัง” ในปี 2559

 

แต่ในความโชคดีของไทยก็มี ความโชคร้าย ! เมื่อหัวหน้าทีมสอบสวนอย่าง “ปวีณ” ที่ทุ่มเททำงาน กลับถูกย้ายอย่างเจ็บปวด จากภาค 8 ไป “ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ !!”

 

“เข้าสู่พื้นที่สีแดงโซนสังหาร !”  

 

จน “ปวีณ” ตัดสินใจลาออก เมื่อถูกกดดันมาก จึงขอลี้ภัยไปอยู่ออสเตรเลีย

 

ส่วน “เอก” หัวเรือใหญ่ จากรอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับ 1 ขณะนั้น จำใจ “ถอดเครื่องแบบ” ย้ายไปเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

 

ทั้ง ๆ ตอนนั้น “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรี และมี ม. 44 ในมือ !

 

สกู๊ปข่าว “มติชน” ระบุว่า “นี่แหละตราบาปยุทธจักรสีกากี !”

 

อย่างไรก็ตาม จากการที่นาย “รังสิมันต์  โรม” พาดพิงเป็นบุคคล มีเครือข่ายกว้างขวาง ในพื้นที่ จ.ระนอง และ พล.ต.ต.ปวีณ ยังระบุว่า ในรูปคดีนี้ มีอะไรให้สอบสวนอีกมาก เพราะเป็นขบวนใหญ่ ขนคนจำนวนมาก ลงเรือเข้าน่านนํ้าไทย “แต่จับทหารเรือ ยศแค่นาวาโท ได้คนเดียว !”

ว่ากันว่า “การแฉขบวนการค้ามนุษย์ โรฮิงญา” อาจต้องเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ที่ปะทุขึ้น ในเดือนพฤษภาคม ตอนศึก “อภิปรายไม่ไว้วางใจ แบบลงมติ” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 เป็นแม่นมั่น !

 

000 000 000

ข่าวในหมวดเดียวกัน

เพิ่มเติม...

การเมือง

คอลัมนิสต์

คมในความ

มหาราษฎร์ Shorts

ภาพเก่าเล่าอดีต

ไฮไลท์

ข่าวประชาสัมพันธ์

ตำรวจ ทหาร อัยการ ศาล คุก

ท่องเที่ยว

ศาสนา

สุขภาพ

แวดวงนักรบ

สังคม

บทบาทบุคคล

< กลับหมวดคอลัมนิสต์

เรื่องล่าสุด