ประชาธิปไตยไม่วุ่นวาย แต่คนทำให้ยุ่งเหยิง??
นับตั้งแต่ยุบสภาวันที่ 20 มีนาคม 2566 จนถึงวันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566
“ประชาธิปไตย” ของไทยได้รับการกล่าวขานว่า “ใหญ่” ที่สุดเหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52 ล้านกว่าคน ซึ่งทุกคนมีสิทธิเพียง 1 เสียงรวมพลังความใหญ่เลือก ส.ส. ที่รัก พรรคที่ชอบเข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง
หลังจากผลเลือกตั้งออกมา ทั้งนักการเมือง และ พรรคการเมืองแสดงบทบาทความใหญ่กว่าประชาชน
ด้วยเหตุฉะนี้ ความใหญ่ของประชาชนจากการเลือกตั้งจึงลดลงไปตามธรรมดาของการเมืองช่วงฟอร์มรัฐบาลใหม่!!
ถ้าขั้วการเมืองไหนได้ ส.ส. ทะลวงเกินครึ่งจนทะลุ 300 คน ก็ใหญ่เพียงพรรคเดียว ในการตั้งรัฐบาลไม่ต้องยกกระทรวงเกรดเอให้พรรคอื่น??
แต่ถ้าพรรค 2 ขั้วมีเสียงก้ำกึ่งกันก็ต้องออกแรงวิ่งสู้ฟัดโชว์ความใหญ่ในการฟอร์มรัฐบาลได้สมประสงค์อารมณ์หมาย!!
อ๊ะ อ๊ะ หลังจากพรรคการเมืองแต่ละขั้วที่ตกลงจับมือกับพรรคที่รู้ใจกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้สมใจนึกแล้ว
อย่าลืมทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนส่วนใหญ่!?!
ไม่ใช่ทำเพื่อพรรคตัวเองหรือพวกพ้องตัวเองนะจ๊ะ!!
ขออนุญาตนำข้อเขียนของ “ท่านปรีดี พนมยงค์” ที่รู้ซึ้งถึงสัจจธรรมการเมืองประชาธิปไตย ได้เขียนเป็นอมตะวาจาคมวาทะ ดังนี้
“ประชาธิปไตยที่เราเห็นอยู่นี้ ส่วนใหญ่ก็โดยประชาชน แต่ขาดหลักการเพื่อประชาชน พวกชนะเลือกตั้งมักละทิ้งประชาธิปไตยไปเสีย กลายเป็นเพื่อตนเองและพวกพ้องไปฉิบ”
ซึ่งเป็นคำเตือนสติที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย เพราะตั้งแต่ยุคโบราณหลายพันปีมาถึงยุคดิจิทัลปัจจุบันนี้ นิสัยถาวรของมนุษย์โดยเฉพาะนักการเมืองไม่เคยเปลี่บนแปลง!!
ตั้งแต่ไทยเป็นประชาธิปไตยมาจนถึงทุกวันนี้ 91 ปีเกือบจะ100 ปีแล้ว นักการเมืองบางจำพวกมักจะใช้วาทะกรรม เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น!!
วาทะดังกล่าวการเมืองทั่วโลกก็เป็นอย่างนี้แหละท่านที่เคารพ!!
การเมืองประชาธิปไตยทุกประเทศก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายก็เพราะ ยกย่องคนชั่วมาเสมอกับคนดี!!
ดังนั้น บ้านเมืองของแต่ละประเทศทุกมุมโลกที่ยุ่งอีรุงตุงนังวุ่นวายไปหมดมีมาตั้งแต่โบราณกาลมา 2-3 พันปี
ซึ่ง “ขงเบ้ง” ได้กล่าวเอาไว้ว่า เหตุที่บ้านเมืองวุ่นวายทุกวันนี้ มิใช่คนดียอมสยบต่อคนชั่ว
แต่คนชั่วต่างหากที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี!!
ปิดท้ายคำคมที่นำมาแชร์ตามโซเซียลต้อนรับการเลือกตั้งเพื่อประชาธิปไตยในขณะนี้
เวลาพูดกับคนไม่ได้ แต่ใช้พิสูจน์คำพูดของคนได้!!
รัฐบาลใหม่ โปรดทราบ!!
นายจักรยาน