เวทีการเมืองระดับโลก ก็มีเรื่องขำ ๆ ให้โลกอมยิ้ม??
เดือนพฤศจิกายน 2565 เป็นปีที่ภูมิภาคอาเซียนได้จัดประชุมเวทีระดับโลก 3 ประเทศ
เริ่มจากเวทีประชุมซัมมิทอาเซียนที่ประเทศกัมพูชา
จากนั้นมีประชุม G 20 ที่ประเทศอินโดนีเซีย
ปิดท้ายเวทีประชุมเอเปค ประเทศในเขตย่านเอเซียและแปซิฟิกในเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้สู่ความยั่งยืนร่วมกัน
แต่ทว่าปี 2565 นี้ วิกฤติของโลกได้มะรุมมะตุ้ม 3 เรื่องใหญ่
1. ปัญหา “โควิด19” ที่ยังไม่คลี่คลายให้ชาวโลกหายใจได้สบายปอด ใช้วิชาแปลงร่างล่าสุดมีชื่อทางการว่า “เดลตาครอน” ในการพุ่งทำร้ายปอดมนุษย์และเร็วกว่า ประชาชนหลาย ๆ ประเทศกลับมาระบาดมากขึ้น
2. ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเศรษฐกิจและเกาะใต้หวันระหว่าง “สหรัฐอเมริกา-จีน”
3. ปัญหาสงครามรัสเซียกับยูเครน ที่คาดกันว่าจะเดือนสองเดือนก็จะเจรจาสงบศึก แต่ผ่านมา 8-9 เดือน ก็ไม่มีทีท่าจะยุติเมื่อไหร่
ด้วยเหตุฉะนี้ 3 บิ๊กเบิ้มซูเปอร์สตาร์ของโลก จึงมิได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตากันในเวทีระดับโลกทั้ง 3 รายการดังเช่นที่ผ่านมา
การประชุมซัมมิทอาเซียนที่กัมพูชา “สี จิ้นผิง” และ “ปูติน” ไม่ได้มา แต่ส่งตัวแทนมาประชุมแทน
ส่วนเวที G 20 ที่อินโดนีเซีย มีซีนให้วิเคราะห์การเมืองโลกในหลายมุมมองคนละมุมสองมุม เพราะ “โจ ไบเดน” แห่งสหรัฐอเมริกา กับ “สี จิ้นผิง” แห่งจีน 2 มหาอำนาจโลกมาจับมือพบปะหารือกัน??
พร้อมกันนี้ “ท่านสี” ได้กล่าววาทะคำคมว่า ถ้าสวนดอกไม้มีดอกไม้เพียงต้นสองต้น คงไม่น่าดู แต่ถ้าสวนดอกไม้มีดอกไม้หลากสีนานาพันธุ์เต็มสวน ย่อมเป็นสิ่งที่พึงพอใจ มิใช่หรือ!!
เป็นคำคมที่ “ท่านโจ” ต้องคิดได้แน่นอน!!
เพราะเศรษฐกิจเป็นวิกฤติอันดับแรกของโลกที่ทุกประเทศทุกภูมิภาคโลกต้องร่วมมือกันเป็นหนึ่งทำให้เศรษฐกิจโลกมีความยั่งยืนสู้กับวิกฤติต่าง ๆ ทั้งการเมืองโลก พลังงาน ความแปรปรวนของฝนฟ้าอากาศโลก ภัยพิบัติธรรมชาติที่หฤโหดยิ่งขึ้น การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมด้วยน้ำมือมนุษย์ รวมถึงประชากรโลกที่ล้นโลก ที่ถาโถมเข้ามาย่อมส่งผลทางตรงกระทบถึงเศรษฐกิจโลกทรุดลงไป!!
เดือนพฤศจิกายน ปี 2565 ปีนี้เป็นปีที่พิเศษ เพราะประชากรอุแว้ ๆ ออกมาครบ 8,000 ล้านคน ซึ่งถือว่าโลกเรามีมนุษย์ล้นเกินลิมิต
สำหรับประชากรคนที่ 8 พันล้านคนเกิดดูโลกที่วุ่นจริงหนอ ยุ่งจริงหนอ มีข่าวรายงานอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์!!
ไม่ว่าประชากรจะล้นที่ประเทศยากจน หรือประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจก็ต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจของประเทศตัวเองขัดข้องเหมือน ๆ กัน!!
ด้วยเหตุฉะนี้ ความร่วมมือช่วยกันทำให้เศรษฐกิจของแต่ละชาติในแต่ละเวทีโลกของทุกภูมิภาค เพื่อหาแนวทางในแต่ละปีที่วิกฤติโลกแปรเปลี่ยนไปทุกปี เปรียบเหมือนไฟท์บังคับเพื่อจับมือร่วมกันขับเคลื่อนฝ่าความผันแปรต่าง ๆ ให้มีความยั่งยืนโสภาสถาพรไปสู่อนาคต
ถ้าไม่ช่วยกันเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในทุกภูมิภาค เศรษฐกิจภูมิภาคไหน หรือประเทศมหาอำนาจระดับพี่เบิ้มถดถอยจนเดี้ยงสาละวันเตี้ยลง เศรษฐกิจทั้งโลกก็ทรุดไปด้วย!!
การประชุมเอเปคที่ประเทศไทย ไม่ใช่ช่วยให้ชาติในภูมิภาคเอเซียและแปซิฟิกร่วมด้วยช่วยกันในการฟันฝ่าเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เท่านั้น
แต่จะส่งผลไปถึงทุกเวทีระดับโลกของทุกภูมิภาคที่จะทำให้เศรษฐกิจของโลกไม่ตกสะเก็ดในอนาคตกาลข้างหน้า!!
อา…ปัจจุบันนี้ ประเทศประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ สังคมนิยม เผด็จการ หนีไม่พ้นต้องใช้ “ทุนนิยม” ที่ทุกระบบการปกครองยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ !!
แต่ทว่าการเมืองระดับโลกและระดับแต่ละชาติที่เป็นประชาธิปไตยมีเรื่องขำ ๆ ของ “ม็อบ” ที่เป็นตัวช่วยแก้เครียดจากวิกฤติเศรษฐกิจ
เพราะ “ม็อบ” ได้สร้างสีสันของประชาธิปไตยในการประท้วงป่วนทุกเวทีป่วนระดับโลกตามสิทธิเสรีภาพ ภราดรภาพ และเสมอภาค
ดังนั้น “ม็อบ” จึงต้องสร้างภาพแสดงบทบาทตามผู้กำกับให้ป่วนเกินร้อยปะทะกับเจ้าหน้าที่อย่างบ้าดีเดือดรุนแรงที่สกัดกั้นไม่ให้เดินขบวนในพื้นที่ห้ามเข้า
เพื่อให้มีภาพและข่าวแพร่ไปตามสื่อทุกสารพัดช่องทาง เป็นหลักฐานให้ผู้สนับสนุนภูมิใจ!?!
อ๊ะ อ๊ะ บางครั้ง “ม็อบ” ที่เย้ว ๆ ประท้วงเหมือนเป็นการ “เตือนสติ” ให้ผู้นำทั้งชาติใหญ่และชาติเล็กมีความจริงใจในการแก้ไขสารพัดปัญหาให้เกิดความยั่งยืน!!
แต่บางครั้ง “ม็อบ” บางประเทศก็หาเหตุประท้วงวุ่นวายแบบ “ไร้สติ” เพราะสติมีแต่สตังค์??
ดังเช่น “ม็อบ” ไทยแลนด์ประท้วงการระชุม “เอเปค” ด้วยเขียนข้อความในป้ายประท้วงว่า “หยุดเอเปค หยุดทุนผูกขาด หยุดประยุทธ์”
แถมท้ายไล่ “ประยุทธ์” พ้นเก้าอี้นายกฯ ??
พร้อมทั้งเรียกร้องให้ “ยุบสภา” เลือกตั้งกันใหม่ ทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าอีก 4 เดือนสภาฯ และรัฐบาล “ลุงตู่” จะครบเทอมในวันที่ 23 มีนาคม 2566!!
เฮ่อ…ดูแล้วเห็นแล้ว พูดอะไรไม่ออกได้แต่กรอกหน้าอมยิ้มขำ ๆ!!!
นายจักรยาน